7/03/2552

King of the Sea หรือ Zhang bao zi

โจรสลัด คือบุคคลที่ปล้นหรือโจรกรรมเรือพาณิชย์ในทะเล หรือบางครั้งตามชายฝั่งหรือท่าเรือต่างๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15-18 โจรสลัดในปัจจุบันจะแตกต่างกับโจรสลัดในอดีตที่มีลักษณะเฉพาะคือจะมีผ้าคาดหัว ใช้ดาบใบกว้างหรือปืนพกและเรือโจรสลัดขนาดใหญ่ ในปัจจุบันโจรสลัดนิยมใช้เรือเร็ว และใช้ปืนกลแทนที่ดาบ
ตำนานเเห่งโจรสลัดเกี่ยวกับโจรสลัดมีมานานตั้งแต่ครั้งสมัยอียิปต์โบราณ แต่กลุ่มโจรสลัด เริ่มมามีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงศตวรรษที่ 8-11 ซึ่งเป็นเวลาที่เหล่าไวกิ้งจากเดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน ครองน่านน้ำยุโรป ออกปล้นตั้งแต่ทะเลบอลติกไปจนถึงช่องแคบยิบรอลต้า สร้างความเสียหายให้เเก่เรือสินค้าเป็นจำนวนมากต่อมา ในช่วงศตวรรษที่ 16 กลุ่มโจรสลัดที่ขึ้นชื่อลือชามักจะรวมตัวกันอยู่ในย่านทะเลอีเจียน และเมดิเตอร์เรเนียน มีทั้งที่เป็นจอมโจรอิสระไม่ขึ้นกับใคร และโจรแบบ “รับสัมปทาน” คือทำความตกลงกับรัฐบาลของประเทศที่ตัวเองสังกัดอยู่ว่า จะแบ่งทรัพย์สินจากการปล้นให้ แลกกับการไม่ถูกรบกวนจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ โจรสลัดเหล่านี้มักไปรวมตัวกันที่ชายฝั่งบาร์บารี่ ทำให้มีชื่อเรียกรวมๆกันว่า เป็นกลุ่มโจรสลัดแห่งบาร์บารี่ ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความโหดร้าย เจอะใครผ่านมาก็ปล้นดะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจรสลัดชื่อดังแห่งยุคที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นสุดยอดแห่งโจรสลัดอมตะตลอดกาลคือ สองศรีพี่น้อง อรุจ และคิเซอร์ ซึ่งได้รับการเรียกขานว่า พี่น้องบาร์บารอสซ่า ซึ่งในภาษาอิตาเลียนหมายถึงคนที่มีเคราสีแดง แก๊งนี้ก็เลยถูกเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า โจรสลัดเคราแดง เดิมอรุจและคิเซอร์ซึ่งถือกำเนิดในกรีซก็คงจะประกอบสัมมาอาชีพดีอยู่ กับพ่อผู้เป็นช่างปั้น และมีเรือค้าขายเป็นของตัวเอง แต่ก็เกิดจุดเปลี่ยนของชีวิต เมื่อเรือของพวกเขาถูกโจรสลัดคริสเตียนปล้น และจับอรุจไปเป็นนักโทษ พอได้รับการไถ่ตัวออกมา หนุ่มผู้พี่ก็เลยเกิดฝังใจ เกลียดพวกคริสเตียน ว่าแล้วในช่วงปี ค.ศ. 1500 พี่น้องบาร์บารอสซ่า ซึ่ง “ซ่า” สมชื่อ ก็เดินทางไปตูนิเซีย แล้วเริ่มแก้แค้นด้วยการดำรงตนเป็นโจรสลัดกับเขาบ้าง สองพี่น้องประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ ด้วยการก่อการขนาดที่ทำเอาตะลึงกันไปทั้งน่านน้ำเมดิเตอร์เรเนียน นั่นคือจะปล้นเรือของใครก็ไม่ ปล้น แต่ลุยไปตีเรือของพระสันตะปาปาเอาเสียเลย ชื่อของจอมโจรหน้าใหม่ก็เลยกระเดื่องเกรียงไกร แถมใครๆก็ไม่ค่อยกล้ามาแหยม เพราะโจรกลุ่มนี้มีข้อตกลงกับสุลต่านแห่งตูนิเซียในการจ่าย “ค่าต๋ง” ให้สุลต่าน เป็นจำนวน 1 ใน 5 ของทรัพย์สินที่ปล้นมาได้ ไม่นานนัก คือราวๆ ค.ศ. 1510 อรุจก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่รวยที่สุดในเมดิเตอร์เรเนียน สองพี่น้องร่วมกันเป็นหัวหน้ากองเรือ 8 ลำ มีทรัพย์สมบัติและข้าทาสบริวารมากมาย และยังช่วยเหล่าทัพมุสลิมในการต่อสู้กับศัตรู ทำให้ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในวีรบุรุษของอิสลามด้วย หลังหมดยุคอันเกรียงไกรของสองพี่น้องบาร์บารอสซ่า ซึ่งทยอยลาโลกกันไปจนหมดในช่วงกลาง ศตวรรษที่ 16 กลุ่มโจรสลัดย่านบาร์บารี่ก็ถดถอยกำลังลง และยังถูกกองเรือทหารของฝรั่งเศสรุกเข้ามาปราบปรามอย่างหนัก ทำให้ยุคทองของโจรสลัดแห่งเมดิเตอร์เรเนียนสิ้นสุดลง กลายไปเป็นช่วงเฟื่องฟูของจอมโจรแห่งแคริบเบียนแทนที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีโจรแล่นเรือกันให้ว่อนไปหมดในน่านน้ำ และในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น กลุ่มโจรสลัดที่ได้ชื่อว่าเป็นกองโจรแห่งน่านน้ำสเปนก็โด่งดังขึ้นมาด้วยเหมือนกัน โจรสลัดแห่งน่านน้ำสเปนที่เลื่องชื่อหลายคนเป็นโจรโดยได้รับอนุญาต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจรสลัดแห่งพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ที่ทรงชุบเลี้ยงกองโจรเอาไว้หลายแก๊ง ที่โด่งดังก็มีหลายคน เช่น เซอร์ จอห์น ฮอว์คินส์, กัปตันวิลเลียม คิดด์ และที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเห็นจะเป็น เซอร์ เฮนรี่ มอร์แกน ซึ่งในปี ค.ศ. 1671 ได้พาพลพรรคออกอาละวาดปานามา ซึ่งในขณะนั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งในพวกโลกใหม่ แล้วขนทรัพย์สินไปมากมาย กลายเป็นที่เล่าขาน หันมาทางด้านน่านน้ำฝั่งแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียบ้าง ในช่วงเวลาเดียวกับที่จอมโจรแห่งแคริบเบียน และน่านน้ำสเปน กำลังออกอาละวาดอย่างสนุกมือ ด้านตะวันออกก็มีโจรสลัดออกปล้นเป็นการทั่วไปเหมือนกัน โดยเปิดทำการในบริเวณกว้างขวาง ตั้งแต่ญี่ปุ่นถึงอินเดีย

กองเรือของเจิ้งอี้คือกองทัพโจรสลัดที่มีกองทัพเรือที่มีมากมายตั้ง 400 ลำ และมีพลพรรครักการปล้นร่วมหัวจมท้ายด้วยกันราวๆ 7 หมื่นคน สร้างเป็นอาณาจักรไพศาลในทะเลจีนใต้ เป็นจอมโจรสลัดอันน่าครั่นคร้าม แต่เจิ้งอี้เป็นตัวละครสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์โจรสลัดได้ไม่นาน ก็ลาโรงพร้อมๆกับลาโลกไปในปี ค.ศ. 1807 แต่เครือข่ายโจรสลัดอันยิ่งใหญ่ของเจิ้งอี้ไม่ได้สลายตัวลง กลับดูเหมือนจะมีสีสันมากขึ้นด้วยการดูแลของนางสิงห์ผู้เป็นภรรยาของเจิ้งอี้ นามชิงเชอะ ผู้ขยับขยายกองเรือให้กลายเป็นเครือข่ายขุมกำลังมหึมามากขึ้น จนได้รับการขนานนามว่า เป็นราชินีแห่งกองโจรสลัด นอกจากเจิ้งอี้กับภรรยาจะร่วมกันสร้างผลงานการปล้นอันเกริกไกร จนพ่อค้ากลัวหัวหดไปทั่วแล้ว ทั้งคู่ยังได้สร้างคนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ขึ้นมาอีกคนหนึ่งคือ


จางเป๋าจ่าย เป็น บุตรชายของชาวประมง แถบชายฝั่งทะเล ซานฮุย ในมณฑลกวางตุ้ง เขาจึงถูกลักพาตัวไปโดย เจิ้งอี้ หัวหน้าโจรสลัดกองเรือธงแดง เมื่อตอนอายุ 15 ปี และกลายเป็นบุตรบุญธรรมของเจิ้งอี้ ต่อมาเมื่อในปี 1807 เจิ้งอี้ เสียชีวิตในพายุทะเล ภรรยาของเจิ้งอี้ ที่ชื่อ ชิงเชอะ หรือ เจิ้งอี้เส้า (ชื่อเดิม เชอะหยาง) และ เจิ้งอันผง หลานชาย กลายเป็นผู้นำกองทัพโจรสลัด จางเป๋าจ่าย กลายมาเป็นมือขวาของ เจิ้งอี้เส้า ในช่วงปี 1808 - 1810 จางเป๋าจ่ายช่วย เจิ้งอี้เส้า บริหารกองทัพโจรสลัดจนยิ่งใหญ่และเป็นที่เลื่องลือไปทั่วกวางตุ้ง และลงเอย จางเป๋าจ่าย แต่งงานกับ เจิ้งอี้เส้า แม่บุญธรรมของตัวเอง(ประวัติของเจิ้งอี้เส้านี้ เกิดเมื่อปี 1785 เดิมชื่อ เชอะหยาง เป็นโสเภณีในแถบกวางตุ้ง ต่อมาได้แต่งงานกับ เจิ้งอี้ ที่เป็นหัวหน้าโจรสลัด เมือปี 1801 เธอเป็นหัวหน้าโจรสลัด โดยมี จางเป๋าจ่าย เป็นมือขวา เธอเสียชีวิต ในปี 1844 ) แล้วช่วยกันทำมาหากิน ออกปล้นไปทั่วน่าน น้ำจีน ทำความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับทางการราชวงศ์ชิงขนาดหนัก

กองโจรสลัดของ เจิ้งอี้เส้า นี้มีทั้งหมด 3 กองเรือ

แต่ละกองจะมีผู้นำ ได้แก่

จางเป๋าจ่าย เป็นหัวหน้ากองเรือธงแดง

กั๊วะป๋อไท่ เป็นผู้นำกองเรือธงดำ และ

เหลียงเป่า เป็นผู้นำกองเรือธงขาว

ทั้งหมดอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของ เจิ้งอี้เส้า

ในช่วงปี 1808 - 1810 นี้ กองทัพโจรสลัด ถูกราชสำนักชิง ปราบปรามอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่สำเร็จ ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่าง จางเป๋าจ่ายและ กั๊วะป๋อไท่ ขึ้น กั๊วป๋อไท่ โจมตีกองเรือของจางเป๋าจ่ายแล้วกลัวว่าจะถูกแก้แค้น จึงสวามิภักด์ต่อทางการ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้กองทัพโจรสลัดของ เจิ้งอี้เส้า อ่อนแอลงและสวามิภักดิ์ต่อทางการในปี 1810 ราชสำนักชิงได้แต่งตั้งให้ จางเป๋าจ่าย กลายเป็นนายพลแห่งกองทัพเรือชิง และเสียชีวิตในปี 1822 การ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเรือจีน นับได้ว่าเป็นโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ที่หาทางลงได้อย่างสวยงาม ไม่ ต้องตายในทะเลระหว่างที่หลบๆซ่อนๆเหมือนคนอื่น จางเป๋าจ่ายสร้างตำนานชีวิตโลดโผนในมหาสมุทร ทั้งในฐานะโจรสลัด และแม่ทัพ จนกลายเป็นบุคคลอมตะ เป็นที่รู้จักไป แต่แค่นั้นก็คงไม่ได้ทำให้จางเป๋าจ่ายกลายเป็นตำนานได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากไม่มีเรื่องสมบัติโจรสลัดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มีเสียงเล่าลือว่า ระหว่างเป็นโจรสลัดนั้น จางเป๋าจ่ายปล้นสะดมไปมากมาย ได้ทรัพย์สินมามหาศาล แม้จะแจกจ่ายแบ่งปันให้ลูกสมุนที่มีอยู่จำนวนมากแล้ว ก็ยังเหลืออีกบานตะเกียง และเมื่อเบื่อชีวิตโจร หันกลับมาเป็นข้าราชการสำนัก ก็ไม่ปรากฏชัดเจนว่า สมบัติโจรของจางเป๋าจ่ายหายไปไหน บางคนก็ว่าถูกซ่อนไว้ที่เกาะแห่งหนึ่ง หรืออาจจะถูกฝังไว้ในที่ลับตา ก็เลยมีความพยายามตามหาขุมสมบัติปริศนาของจางเป๋าจ่ายเรื่อยมา กลายเป็นเนื้อหาของหนังจีนมาแล้วหลายเรื่อง
เสียชีวิต เมื่ออายุเพียง 30 ปี


8 ความคิดเห็น:

Ming. กล่าวว่า...

Hello
nice to meet you
im S.Ming (世銘)

Mike Isilrá กล่าวว่า...

Whoaa, pirates! But still don't understand a single word... Have msn? mail?

ธิดารัตน์ จันทร์คง กล่าวว่า...

ขอบคุณที่แวะเข้าชมคะ http://iamnokkawe.blogspot.com
เวป ของคุณก็ดูดีคะ อลังการ ด้วย เรื่อง กษัติคะ

ธิดารัตน์ จันทร์คง กล่าวว่า...

ก็อย่าลืมเข้าเป็นผู้ติดตาม goolgle friend connet นะคะ มีเรื่องใหม่ๆ เราจะได้พบกันคะ

Unknown กล่าวว่า...

oh your blog of you very good .i was read this post anh i thjnk you wride about for Vietnamese .hungls!

HEALTH CARE กล่าวว่า...

ขอบคุณ ที่แวะมาเยี่ยมชมคะ blog สวยดีคะ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ.

cocodrilo ^_^ กล่าวว่า...

ขอบคุณที่แวะมาทักทายคะ

Unknown กล่าวว่า...

Hi Print ^^ thanks for the comment
I'm sorry I couldn't understand what you tried to tell me but I really appreciate your visit in my blog

hugs from Panama ;D
Haru~