5/11/2552

เรื่องราวในตำนาน “วีรบุรุษเขาเหลียงซาน” (水浒传)ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดวรรณดีของจีน

ภาพวาดจากม้วนหนังสือโบราณของจีน เรื่อง สุยหู่จ้วน
วาดราวคริสต์ศตวรรษที่ 15

ขณะที่หงซิ่นกำลังยืนมองดูอยู่ข้างใน ทันใดนั้นในหลุมก็ลั่นดังเป็นควันดำพุ่งขึ้นมาออกทางประตู ควันดำนั้นลอยอยู่บนอากาศแล้วแตกกระจายแยกย้ายกันไปทั้งแปดทิศ เล่าโจ๊วเซียนซือแต่ครั้งแผ่นดินก่อนบอกไว้ว่า "ในเก๋งนี้ขังดวงจิตดาวทหารที่ดุร้ายถึง 108 ดวง มีดาวเทียนกังแช (Heavenly Spirits) 36 ดวง และดาวตีสัว(Earthly Fiends) 72 ดวง รวมเป็น 108 ดวง ขังไว้มิให้ไปเกิดเพราะกลัวจะรบกวนไพร่บ้านพลเมืองได้รับความเดือดร้อน" หงซิ่นมาเปิดปล่อยไปดังนี้จึงแยกย้ายกันไปเกิดเป็นมนุษย์ทั้ง 108 คน (พุทธศักราช. 1595)


บทที่ ๑
เซียนวิเศษทำพิธีขจัดโรคระบาด เสนาบดีหง ปลดปล่อยมารปีศาจ




ปีศาจ

ท่ามกลางความระส่ำระสายในยุค อู่ไต้ เมฆร้ายพลันคลี่คลายฟ้าสดใสละอองฝนชโลมพืชพันธุ์ที่แห้งแล้งมานานปี เข้าสู่ยุคบ้านเมืองสงบสันติยั่งยืนนานผู้คนต่างประดับประดาทั่วทุกแห่งหน เสียงมโหรีบรรเลงทุกบ้านช่องใต้ฟ้าสุขสันติ์ไร้เรื่องราว ไพร่ฟ้านอนตาหลับไร้กังวล




บทกลอนข้างบนนี้เป็นบทกลอนที่แต่งโดย นักพรต คังเจี๋ย (เ ส้าเหยาฟู ) ในสมัยจักรพรรดิซ่งเสินจง ( 宋神宗 ) เป็นบทรำพึงรำพันถึงความระส่ำระสายในยุคปลายราชวงศ์ถัง ที่ต่อมานักประวัติศาสตร์เรียกว่าสมัย อู่ไต้ แผ่นดินในยุคนั้นเปลี่ยนแปลงราชวงศ์กันแทบทุกเช้าค่ำ รบพุ่งกันไม่เว้นแต่ละวัน แย่งชิงอำนาจกันในห้าสกุลคือ จู หลี่ สือ หลิว กวอ ก่อตั้ง เหลียง ถัง จิ้น ฮั่น โจว ห้าราชวงศ์ มีกษัตริย์ปกครองรวม 15 พระองค์ ตลอดช่วง 50 ปี ไม่เคยมีปีใดที่ประชาชนจะได้อยู่เย็นเป็นสุข




ต่อมาถึงคราฟ้าเปลี่ยนสี ได้กำเนิดจักรพรรดิผู้ทรงคุณธรรมและปรีชาสามารถ ร่ำลือกันว่าเมื่อจอมจักรพรรดิทรงพระประสูติ มีแสงสีแดงฉาบทาทั่วท้องฟ้า กลิ่นหอมอบอวลครอบคลุมทั่วทั้งแผ่นดิน เหมือนหนึ่งเป็นสัญญานการจุติของทวยเทพมิปาน จักรพรรดิองค์นั้นเกิดในตระกูลจ้าว (趙) ลักษณะสูงสง่า บุคคลิกยากที่จะหาจักรพรรดิองค์ใดที่ผ่านมาเทียมเทียบได้ มีความรอบรู้กว้างขวาง รบพุ่งหาญกล้า สามารถสยบความระส่ำระสายในแผ่นดิน รวบรวมแผ่นดินจงหยวนเป็นปึกแผ่น สถาปนาราชวงศ์ ซ่ง(宋朝) ที่เมืองเปี้ยนเหลียง (ปัจจุบันอยู่มนฑลเหอหนาน) เป็นการวางรากฐานราชวงศ์ที่มั่นคงต่อไปอีก 400 ปี สอดคล้องกับบทกลอนประโยคที่สองของ เส้าเหยาฟู ที่กล่าวว่า เมฆร้ายพลันคลี่คลายฟ้าสดใส บนเขา หัวซาน(華山) มียอดคนผู้หนึ่งชื่อ เฉินป๋อ เป็นคนมีคุณธรรมสูงส่ง บำเพ็ญเพียรจนมีตะบะแก่กล้า สามารถควบคุมได้แม้กระทั่งลมฝน วันหนึ่งได้ขี่ลาลงเขามาถึงเมือง หัวอิง ตามทางได้ยินชาวบ้านกล่าวกันว่า ที่เมือง ตงจิง จักรพรรดิ ไฉซื่อจง ได้สละบัลลังก์ให้แก่ เจ้าเจี๋ยนเตี่ยน (趙匡胤) เฉินป๋อ ได้ยิน ก็เอามือแตะที่หน้าผาก หัวเราะด้วยความยินดี บอกว่า ต่อไปนี้บ้านเมืองถึงคราวสงบร่มเย็น สอดคล้องกับเจตนาฟ้าดิน และเป็นที่สมหวังของประชาชนโดยทั่วไป เจ้าเจี๋ยนเตี่ยน ครองราช 17 ปี ก็สละให้ พระราชอนุชา ซ่งไท่จง (宋太宗) ซ่งไท่จง ครองราชย์อยู่ 22 ปี ก็สืบราชบัลลังก์ต่อให้ ซ่งเจินจง(宋真宗) จากซ่งเจินจง สืบให้แก่ซ่งเหยินจง(宋仁宗) สำหรับจักรพรรดิ ซ่งเหยินจง นั้น ได้รับขนานนามว่า เทวดาเท้าเปล่า ตอนประสูตินั้นร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน จนต้องประกาศหาแพทย์มารักษา กระเทือนถึงบนสวรรค์ ต้องส่ง ไท่ไป๋จิน (太白君) จำแลงกายเป็นชายชรามาฉีกประกาศ อาสาเข้าทำการรักษา เมื่อ จักรพรรดิ เจินจง อนุญาตให้ชายชราเข้าทำการรักษา ชายชราก็อุ้มรัชทายาทไว้กับอก เพียงกระซิบเบาๆว่า ฝ่ายบุ๋นมีเทพแห่งบุ๋น (文星) ฝ่ายบู๊มีเทพแห่งบู๊ (武星) องค์รัชทายาทก็หยุดร้องทันที ชายชราผู้นั้นก็หายตัวไปทันทีโดยที่ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ เทพฝ่ายบุ๋นก็คือ บันฑิต เปาเจิ่ง(包青天)เจ้าเมือง ไคเฟิง (開封) ส่วนเทพแห่งบู๊ ก็คือแม่ทัพปราบซีเซี่ย ตี๋ชิง เป็นข้าราชการที่ภัคดีทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ ที่ช่วยงานปกครองบ้านเมืองให้เป็นไปอย่างราบรื่น ตลอดช่วงการครองราชสมบัติของ ซ่งเหยินจงฮ่องเต้ง ถึง 42 ปี มีการเปลี่ยนศักราชถึง 9 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ปี ขุ่ย เดือน ไห้ เป็น เทียนเซิ่ง (天聖) ศักราชที่ 1 จนถึงศักราชที่ 9 บ้านเมืองสงบสุขไร้โจรภัย พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ถือเป็นช่วงที่หนึ่ง จากหมิงเต้า (明道) ศักราชที่ 1 จนถึงหวงหยิ้ว (皇祐) ศักราชที่ 3 อีก 9 ปี ยังคงสงบไร้เรื่องราวเป็นช่วงที่สอง จากหวงหยิ้ว ศักราชที่ 3 จนถึง เจียหยิ้ว (嘉祐) ศักราชที่ 2 อีก 9 ปีรวมแล้ว 27 ปี ที่ไพร่ฟ้าประชาชนต่างอยู่อย่างสงบสุขไร้เรื่องราว โดยไม่คาดคิดว่าจะมีเคราะห์มาเยือน
[ เด็กฉ้ายตึ๋ง - 2/01/2009 - 08:15 ] ในฤดูใบไม้ผลิของปีเจียหยิ้ว ศักราชที่ 3 ตั้งแต่ เจียงหนาน ไปจนถึง ตงจิง และ หนานจิง ได้เกิดโรคระบาดใหญ่ เฉพาะเมือง ตงจิง ทั้งข้าราชสำนัก และพลเมือง เสียชีวิตกว่าครึ่ง ท่าน เปาเจิ่ง แห่งเมือง ไคเฟิง ถึงกับต้องนำเสบียง และยารักษาโรค ไปแจกจ่ายให้กับประชาชน และตรวจตราสถานะการณ์ด้วยตัวเอง โรคระบาดยิ่งเพิ่มความรุนแรง จนไม่อาจควบคุมสถานะการณ์ได้ ข้าราชบริพารทั้งบุ๋นและบู๊ ต่างชุมนุมกันที่ท้องพระโรงตั้งแต่กลางดึก เพื่อรอกราบทูลห้องเต้ ตอนนั้นคือ เจียหยิ้ว (嘉祐) ศักราชที่ 3 วันที่ 3 เดือน 3 เวลาตี 3 เมื่อจักรพรรดิเหยินจง เสด็จออกท้องพระโรง ข้าราชบริพาลต่างแย่งกันกราบทูล อำมาตย์ เจ้าเจ๋อ และ เหวินเยี่ยนปํอ ได้กราบทูลว่า ขณะนี้เกิดโรคระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง และทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ขอให้พระองค์ทรงกรุณางดเว้นภาษี ผ่อนเบาภาระ และหาทางขจัดทุกข์ภัยให้กับประชาชน พระเจ้า เหยินจง จึงสั่งการให้ราชเลขาออกราชโองการด่วน ทางหนึ่งอภัยโทษแก่นักโทษแผ่นดิน ทางหนึ่งให้งดเว้นภาษีประชาชนทั่วไป และยังสั่งให้วัดวาอารามบำเพ็ญบุญกุศลปัดรังควาญ แต่โรคระบาดก็ยังไม่ทุเลาลง พระเจ้าเหยินจงทรงกังวลเป็นยิ่งนัก จึงเรียกประชุมข้าราชบริพาล เพื่อหาหนทางแก้ไข อำมาตย์ ฟ่านจ้งเยียน กราบทูลว่า ขนะนี้ภัยพิบัติร้ายแรง ทำร้ายประชาชนแสนสาหัส จนไม่อาจนอนตาหลับได้ จะขจัดเภทภัยครั้งนี้ คงต้องบนบานเทพยดาปกป้องราชสำนัก จึงจะสามารถหลบพ้นเภทภัยครั้งนี้ได้ พระเจ้าเหยินจง จึงทรงพระอักษรด้วยพระองค์เอง และมอบหมายให้ เสนาบดี หงซิ่น เป็นผู้แทนพระองค์นำสารและธูปหอมพระราชทาน เดินทางไปยัง เขา เสือมังกร ที่เจียงซี อัญเชิญเซียนวิเศษ จางเจินเหยิน มาปัดเป่าเภทภัยครั้งนี้ เสนาบดีหง นำพระราชโองการ พร้อมทั้งธูปพระราชทาน และผู้ติดตามอีกสิบกว่าคนเดินทางโดยไม่รอช้า เมื่อถึงเมือง ซิ่นโจว มนฑล เจียงซี (江西) ข้าราชการน้อยใหญ่ต่างให้การต้อนรับ และส่งม้าเร็วแจ้งต่อเจ้าอาวาสวัด ซ่างชิงกง ที่อยู่บนเขา เสือมังกร(龍虎山) ทันที เมื่อเดินทางถึงวัด ซ่างชิงกง เห็นทั่วทั้งวัดประดับประดาด้วยโคมไฟ และธงทิวหลากสี เจ้าอาวาสและบรรดาพระสงฆ์ ต่างเข้าแถวรอรับพระราชโองการ เสนาหง จึงถามว่า "เซียนวิเศษอยู่ที่ไหน?" เจ้าอาวาสตอบว่า "ท่านเซียนมีฉายาว่า เซียนว่างเปล่า มีจิตใจสูงส่ง ไม่สนใจในพิธี ปัจจุบันบำเพ็ญสมาธิอยู่ในกระท่อมเล็กๆบนยอดเขา" เสนาหงถามอีกว่า "ตอนนี้เรานำพระราชโองการมา จะมอบให้ได้อย่างไร"
[ เด็กฉ้ายตึ๋ง - 2/01/2009 - 08:17 ] เจ้าอาวาสจึงเชิญเสนาหงเข้าไปปรึกษากันในห้องโถง หลังจากรับน้ำชาและอาหารเจเรียบร้อยแล้ว เสนาหงจึงเอ่ยว่า " เมื่อเซียนวิเศษอยู่บนยอดเขา ไยไม่เชิญลงจากเขาเพื่อรับราชโองการ" เจ้าอาวาสตอบว่า " เซียนวิเศษถึงแม้อยู่บนยอดเขา แต่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ร่องรอยไม่แน่นอน แม้แต่พวกเรายังไม่สามารถจะพบได้ง่ายนัก ไหนเลยจะเชื้อเชิญลงจากเขาได้" เสนาหงกล่าวว่า " ปัจจุบันโรคระบาดคุกคามข้าราษฎรแสนสาหัส ฮ่องเต้จึงส่งข้าผู้น้อยนำราชโองการมา พร้อมด้วยธูปมังกร หวังเชื้อเชิญท่านเซียนทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ช่วยปัดเป่าภัยพิบัติ ขจัดเภทภัยให้แก่ราษฎร ถ้าหากไม่อาจพบท่านเซียนแล้วจะทำอย่างไรได้ " เจ้าอาวาสจึงกล่าวว่า "จะปัดเป่าทุกข์ภัยให้กับประชาชน ขอเพียงท่านเสนาแสดงความจริงใจสักนิด รับอาหารเจชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ ผัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จุดธูปมังกร อธิษฐานต่อเซียนวิเศษ แล้วนำราชโองการขึ้นเขาโดยลำพัง อาจจะได้พบท่านเซียน แม้นไม่บริสุทธิ์ใจก็ยากจะได้พบ" เสนาหงกล่าวว่า "เราอุตส่าห์เดินทางจากเมืองหลวงมาด้วยความยากลำบาก ไหนเลยไม่บริสุทธิ์ใจ ถ้าเป็นไปตามท่านว่า พรุ่งนี้เราจะขึ้นเขาทันที " ฟ้าสางวันรุ่งขึ้น เหล่าพระเณรเตรียมน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ให้เสนาหงชำระร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าบริสุทธิ์ สวมใส่รองเท้าฟาง หลังจากรับประทานอาหารเจ เหล่าพระเณรชี้ทางขึ้นเขาน้อมส่งเสนาหง เจ้าอาวาสกล่าวว่าท่านเสนาจะช่วยเหลือราษฎร ต้องจริงใจอย่าท้อถอยแม้แต่น้อย เสนาหงสะพายห่อผ้าเหลืองใส่พระราชโองการ สองมือประคองกระถางธูปเงินที่จุดธูปมังกร เดินขึ้นเขาเพียงคนเดียว ปากท่องอธิษฐานต่อเซียนวิเศษไปตลอดทาง ผ่านเส้นทางที่รกชัฎ และขึ้นลงคดเคี้ยวไปสักสองสามลี้ เสนาหงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนก้าวขาไม่ออก ในใจครุ่นคิด ตัวเราเป็นถึงเสนาบดี อยู่ในเมืองหลวงกินนอนแสนจะสุขสบายไหนเลยจะเคยใส่รองเท้าฟาง มาตรากตรำบนหนทางที่ยากลำบากขนาดนี้ เซียนวิเศษที่ว่าก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน กลับกลั่นแกล้งเราถึงเพียงนี้ คิดแล้วก็รู้สึกท้อใจนัก เดินต่อไปอีกประมานห้าสิบก้าว เห็นที่ต่ำข้างหน้ามีลมกระโชกมาหอบหนึ่ง แล้วมีเสียงคำรามก้องป่าดังมาจากด้านหลังต้นสน พร้อมกับมีเสือตัวเขื่องกระโจนออกมา เสนาหงตกใจร้องลั่นแล้วล้มลงกับพื้น เสือตัวนั้นจ้องมองเสนาหง หันซ้ายทีขวาทีคำรามก้องแล้วเดินจากไป เสนาหงตกใจกลัวจนเข่าอ่อนหัวใจแทบหยุดเต้น ชั่วกาน้ำเดือดผ่านไป เสนาหงค่อยๆลุกขึ้นเก็บกระถางธูปและธูปมังกร แล้วเดินต่อไป ผ่านไปอีกห้าสิบก้าว ลมหายใจเริ่มหอบถี่ ขณะที่ใจกำลังรำพึงรำพันถึงความยากลำบาก พลันรู้สึกมีลมแห่งความชั่วร้ายโชยมา เสนาหงเพ่งมองไปยังเสียงกรอบแกรบที่ดังมาจากป่าไผ่เชิงเขา เห็นงูยักษ์ลายพร้อยตัวหนึ่งเลื้อยออกมา เสนาหงตกใจแทบสิ้นสติ กระถางธูปหลุดจากมือ ปากร้องว่าตายแน่คราวนี้ วิ่งไปขดตัวสั่นอยู่ข้างโขดหิน งูตัวนั้นเลื้อยเข้าใกล้โขดหิน ตาโปนแวววับ อ้าปากกว้างแลบลิ้นสีแดงขู่ฟ่อๆอยู่ตรงหน้าเสนาหง แล้วก็เลื้อยลงจากเขาไป เสนาหงลุกขึ้นยืน เหงื่อเย็นเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้า ปากก็สบถด่าเซียนวิเศษหาว่า กลั่นแกล้งให้ตกใจกลัว หลังจากจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ประคองกระถางธูปขึ้น แล้วเดินทางขึ้นเขาต่อไป
[ เด็กฉ้ายตึ๋ง - 2/01/2009 - 08:21 ]
เสนาหงเดินทางต่อไปได้อีกช่วงหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังมาจากหลังต้นสน เสียงขลุ่ยค่อยๆดังใกล้เข้ามา จนเสนาหงเห็นนักพรตอ่อนเยาว์ผู้หนึ่ง นั่งเป่าขลุ่ยเงินอยู่บนหลังวัว ค่อยๆเคลื่อนใกล้เข้ามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มละไม เสนาหงจึงร้องตะโกนถามว่า " เจ้าเป็นใครมาจากไหน รู้จักเราหรือไม่ " นักพรตน้อยยังคงเป่าขลุ่ยต่อไปโดยไม่สนใจ เสนาหงร้องถามอีกหลายครั้ง นักพรตน้อยจึงหัวร่อ เอาขลุ่ยชี้หน้าเสนาหงแล้วกล่าวว่า " ท่านเดินทางมาที่นี่ คงต้องการพบท่านเซียนใช่หรือไม่" เสนาหงกล่าวว่า
" เจ้าเป็นแค่เด็กเลี้ยงวัว ทำไมถึงรู้เรื่องนี้ " นักพรตน้อยตอบว่า "เราเป็นเด็กรับใช้ท่านเซียนอยู่ในกระท่อม ได้ยินท่านเซียนพูดว่า วันนี้จะมีเสนาบดีชื่อ หงซิ่น นำเอาพระบรมราชโองการ พร้อมด้วยธูปมังกรเดินทางขึ้นเขามา ชักชวนให้ข้าเดินทางไปทำพิธีบวงสรวงเทพยดาที่ ตงจิน ปัดเป่าเภทภัย ขจัดโรคระบาดให้กับปวงชน ตอนนี้ท่านเซียนได้ขี่นกกระเรียนเทพเดินทางไปตั้งแต่เช้า ไม่ได้อยู่ในกระท่อมแล้ว ท่านไม่ต้องขึ้นเขาอีกต่อไป ในป่าเขามีสัตว์ร้าย พบพานอาจทำร้ายท่านถึงแก่ชีวิตได้ " เสนาหงกล่าวว่า "เจ้าไม่ได้หลอกลวงข้านะ" นักพรตน้อยไม่ตอบ เพียงแต่หัวร่อแล้วเป่าขลุ่ยขี่วัวจากไป เสนาหงครุ่นคิดว่า ทารกน้อยนี้ทำไมจึงรู้เรื่องของตน คงเป็นเพราะท่านเซียนกำชับมาแน่ๆ ครั้นจะขึ้นเขาต่อไป ก็กลัวจะเจอกับสัตว์ร้ายดังที่ผ่านมา อาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตจริงๆ ไม่สู้ลงจากเขาดีกว่า เสนาหงยังคงประคองกระถางธูปเงิน เดินย้อนกลับมาทางเดิม จนกลับมาถึงวัด เมื่อพบกับเจ้าอาวาสถามว่า " ได้พบท่านเซียนหรือไม่ " เสนาหงกล่าวว่า " เราเป็นข้าราชสำนักชั้นสูง ไยจึงกลั่นแกล้งให้ไปตรากตรำกลางป่าเขา ขึ้นไปได้แค่กลางเขา ก็พบเสือใหญ่ตัวหนึ่ง ทำเอาเราตกใจแทบสิ้นสติ เดินต่อไปยังไม่พ้นยอดเขา ก็ปะงูยักษ์เข้าอีกตัวหนึ่ง ขวางทางที่จะไป ถ้าไม่ใช่เพราะเรายังมีบุญบารมี คงไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้ พวกท่านเหตุไฉนจึงกลั่นแกล้งจนเราแทบเอาชีวิตไม่รอด " เจ้าอาวาสกล่าวว่า " พวกเราไหนเลยกล้าคิดกลั่นแกล้งท่านเสนาบดี แต่เป็นเพราะท่านเซียนต้องการทดสอบท่านเสนา บนเขาลูกนี้ถึงจะมีสัตว์ร้าย แต่ก็ไม่เคยทำร้ายผู้คน " เสนาหงจึงเล่าต่อว่า " ขณะที่เราเหนื่อยจนก้าวขาไม่ออก ก็เห็นนักพรตน้อยผู้หนึ่งนั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนหลังโค ค่อยๆเดินใกล้เข้ามา เขาบอกว่าเขารู้เรื่องทั้งหมดจากท่านเซียน และท่านเซียนได้ขี่นกกระเรียนไป ตงจิน ตั้งแต่เช้าแล้ว เราจึงเดินทางกลับมา " เจ้าอาวาสกล่าวว่า " ท่านเสนาไม่น่าพลาดเลย เพราะว่านัดพรตน้อยท่านนั้นก็คือท่านเซียนนั่นเอง " เสนาหงจึงถามว่า " ท่านเซียนไฉนจึงดูราวกับทารกน้อย " เจ้าอาวาสกล่าวว่า "ท่านเซียนถึงแม้นอายุไม่มาก แต่เป็นคนมีบุญญาธิการเหนือมนุษย์ สามารถปรากฏกายได้ทุกแห่งราวกับเป็นวิญญานศักดิ์สิทธิ์ คนทั่วไปยกย่องให้เป็น เทพล่องหน " เสนาหงจึงอุทานว่า " ตัวเราช่างมีตาแต่ไม่มีแววจริงๆ " เจ้าอาวาสจึงกล่าวว่า " ท่านเซียนเมื่อเดินทางไปแล้ว ท่านเสนาก็ไม่ต้องกังวล เรื่องทั้งหมดคงจะเรียบร้อย " เมื่อถึงวันที่ท่านเสนากลับถึงเมืองหลวง ท่านเจ้าอาวาสจึงอัญเชิญพระราชโองการและธูปมังกรประดิษฐานในห้องโถง แล้วสั่งการให้จัดเตรียมสุราอาหารต้อนรับเสนาหง วันรุ่งขึ้นเจ้าอาวาสได้จัดเตรียมให้เสนาหงเดินชมทิวทัศน์บริเวณวัดโดยรอบ เสนาหงและผู้ติดตามเดินชมจากด้านหน้าไปถึงด้านหลัง มาถึงด้านซ้ายเห็นมีวิหารจิ่วเทียน วิหารจื่อเหวย วิหารเป่ยจี๋ ด้านขวามีวิหารไท่อี่ วิหารซานกวาน วิหารชวีเสีย เสนาหงหยุดตรงหน้าวิหารที่ก่อด้วยกำแพงดินแดง ด้านหน้ามีแอกม้าสีแดงสองข้าง ประตูถูกลงกลอนอย่างแน่นหนา มีกระดาษยันต์ปิดทับไขว้กันหลายสิบแผ่น มีป้ายสีแดงสดติดอยู่เหนือประตู มีอักษรสีทองสี่ตัวข้อความว่า
[ เด็กฉ้ายตึ๋ง - 2/01/2009 - 08:25 ]
วิหารสยบมาร เสนาหงถามว่า นี่เป็นสถานที่เช่นไร เจ้าอาวาสตอบว่า ที่นี่เป็นสถานที่ปรมาจารย์ได้กักขังพญามารเอาไว้ เสนาหงถามอีกว่า ทำไมด้านบนจึงต้องมีผ้ายันต์ปิดทับกันหลายชั้น เจ้าอาวาสตอบว่า แรกเริ่มปรมาจารย์เราคือ ท่านราชครู ต้งสวน แห่งราชวงศ์ถัง ได้กักขังพญามารไว้ที่นี่ แต่เมื่อมีการสืบทอดปรมาจารย์รุ่นใหม่ ต่างก็ทำพิธีสยบมารและปิดผ้ายันต์ทับเพิ่มอีกหนึ่งชั้น เพื่อตอกย้ำไม่ให้พญามารและลูกๆหลานๆมันหนีออกมา สร้างความเดือดร้อนแก่มนุษย์โลกตลอดกาล สืบทอดมาถึงแปดเก้ารุ่น ไม่เคยมีใครเปิดเข้าข้างใน อาตมารับผิดชอบที่นี่มาสามสิบกว่าปี ก็เพียงแค่ได้ยินเท่านั้น เสนาหงรู้สึกตื่นเต้น นึกอยากเห็นตัวพญามารขึ้นมา จึงบอกให้เจ้าอาวาสเปิดประตู เจ้าอาวาสตอบว่า " ประตูนี้ไม่อาจเปิดได้ ปรมาจารย์รุ่นก่อนต่างกำชับแน่นหนาห้ามเปิดประตูนี้อย่างเด็ดขาด " เสนาหงหัวเราะแล้วตอบว่า " เหลวไหล พวกท่านเจตนาสร้างสถานที่เช่นนี้ขึ้น แล้วกุเรื่องว่ามีพญามารถูกกักขังอยู่ที่นี่ เพื่ออวดอ้างฤทธิ์เดชหลอกลวงประชาชน ตัวเราร่ำเรียนมาก็ไม่น้อย ไม่เชื่อว่ามีเรื่องเหลวไหลเหล่านี้ จงรีบเปิดประตูให้เราดูข้างในทันที " เจ้าอาวาสพยายามทัดทาน และชี้แจงให้ทราบถึงภัยพิบัติที่จะตามมาหลังเปิดประตูวิหารนี้

เสนาหงชี้หน้ากล่าวด้วยความโกรธว่า "ถ้าเจ้าไม่ยอมเปิด เราจะกลับไปนำกำลังทหารมา จับพวกเจ้าทั้งหมด ข้อหาขัดพระราชโองการ ขัดขวางมิให้เราพบท่านเซียนผู้วิเศษ และยังจะตั้งข้อหาพวกเจ้า สร้างเรื่องเท็จ หลอกลวงผู้คนเรื่องพญามาร ลงโทษสักหน้า ยึดใบอนุญาตของพวกเจ้า แล้วเนรเทศพวกเจ้าไปถิ่นทุรกันดาร " ด้วยความเกรงกลัวอำนาจของเสนาหง เจ้าอาวาสจึงสั่งให้ช่วยกันดึงเอาผ้ายันต์ออก ทำลายกลอนประตูทองสัมริดเสีย แล้วเปิดประตูออก ภายในมืดมิดจนมองไม่เห็นอะไรเลย เสนาหงจึงสั่งให้จุดคบเพลิงขึ้น พอเดินเข้าไปข้างใน เห็นมีแต่ห้องว่างเปล่า ไม่มีอะไรนอกจากเสาหินกลมแท่งหนึ่งปักอยู่กลางห้อง สูงประมาน 4-5 เชียะ ด้านหน้าของเสาหินมีอักษรลวดลายหงษ์มังกร แต่อ่านไม่เข้าใจว่ามีความหมายอย่างไร ส่วนด้านหลังกลับมีอักษรธรรมดาอยู่สี่ตัว เขียนว่า เปิดเมื่อพบหง เสนาหงกล่าวกับเจ้าอาวาสด้วยความตื่นเต้นว่า "พวกเจ้าขัดขวางไม่ให้เราเข้ามา แต่ความจริงได้กำหนดไว้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว คำว่า เปิดเมื่อพบหง ย่อมหมายความว่าให้เราเป็นผู้เปิด คิดว่าพญามารคงต้องอยู่ใต้หลักหินนี้เป็นแน่ " ว่าแล้วจึงสั่งให้เอาจอบเสียมมาขุดเพื่อถอนหลักหินขึ้นมา เจ้าอาวาสรีบทัดทานด้วยความตระหนกว่า " ท่านเสนาไม่อาจแตะต้องหลักหินนี้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจชักนำเภทภัยสู่มวลมนุษย์อย่างคาดไม่ถึง " เสนาหงกล่าวว่า " พวกท่านเกรงกลัวอันใด ไม่เห็นหรือว่าหลักหินนี้ระบุให้เราเป็นผู้เปิด ใครบังอาจจะขัดขวางเรา รีบๆขุดเข้าไป " ไม่ว่าเจ้าอาวาสจะทัดทานอย่างไรก็ไม่เป็นผล เสนาหงยังคงสั่งให้ขุดต่อไป จนหลักหินนั้นถูกถอนขึ้นมา แล้วขุดลึกลงไปอีก 3-4 เชียะ ก็พบแผ่นหินแผ่นใหญ่อีกแผ่นหนึ่ง เสนาหงสั่งให้ช่วยกันงัดแผ่นหินนั้นขึ้นมา เจ้าอาวาสร้องเสียงหลงว่า " อย่าแตะต้องแผ่นหินนั้น " เสนาหงไม่ฟังเสียง ยังคงสั่งการให้งัดต่อไป จนแผ่นหินค่อยๆถูกงัดขึ้นมาทีละน้อย ที่แท้ใต้แผ่นหินนี้เป็นอุโมงค์ที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น ได้ยินแต่เสียงกราวๆดังมาจากในอุโมงค์ เมื่อเสียงเงียบสงบลง มีเงาดำสายหนึ่งม้วนขึ้นมาจากอุโมงค์ แผ่คลุมครึ่งห้องลอยอยู่กลางอากาศ แล้วแตกเป็นแสงสีนับร้อยสาย กระจัดกระจายหายไปในทันที ทุกคนตื่นตกใจโยนจอบเสียมทิ้ง แย่งกันวิ่งออกจากห้องโถง จนล้มทับกันระเนระนาด เสนาหงตกใจจนหน้าซีด อ้าปากค้างวิ่งออกจากห้องโถงเช่นกัน เห็นเจ้าอาวาสร่ำร้องว่า " แย่แล้ว! แย่แล้ว! " อยู่ไม่ขาดปาก เสนาหงจึงถามว่า " ที่หลบหนีไปได้นั้น เป็นมารปีศาจจำพวกไหนกันบ้าง " เจ้าอาวาสกล่าวว่า " ท่านเสนาไม่ทราบว่าที่กักขังอยู่ในวิหารนี้ มีดาวพระกาฬ 36 ดวง และดาวเพชรฆาตอีก 72 ดวง รวมแล้วเป็นมารปีศาจที่ชั่วร้าย 108 ตน ถูกจารึกชื่อเป็นอักขระหงส์มังกร (龍鳳) บนหลักศิลากักขังอยู่ที่นี่ เมื่อถูกท่านเสนาปลดปล่อยออกมาแล้ว ต่อนี้ไปแผ่นดินคงยากจะสงบสุข " เสนาหงได้ยินถึงกับเข่าอ่อนยืนไม่ติด เหงื่อซึมจนเปียกชุ่มทั้งตัว รีบสั่งให้ผู้ติดตามจัดเก็บสัมภาระแล้วออกเดินทางทันที หลังจากส่งเสนาหงแล้วเจ้าอาวาส กลับเข้าไปในวิหารจัดทุกอย่างให้อยู่ในสภาพปกติ แล้วปักหลักศิลาไว้ในตำแหน่งเดิม ส่วนเสนาหงกำชับผู้ติดตามทั้งหลาย ไม่ให้แพร่งพรายเรื่องปลดปล่อยมารปีศาจให้ผู้อื่นล่วงรู้โดยเด็ดขาด แล้วเร่งรีบเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน จนกระทั่งเข้าสู่เมืองเปี้ยนเหลียง ก็ได้ยินชาวบ้านโจษจันกันถึงเรื่องเซียนผู้วิเศษได้มาทำพิธีบวงสรวงเทพยดา ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ติดยันต์ไล่ผี ปัดเป่าเภทภัย ขจัดโรคระบาดให้แก่ราษฎร์ ชาวบ้านยังล่ำลือกันว่า เซียนผู้วิเศษนี้ขี่นกกระเรียน เหาะเหินเดินอากาศได้ อาศัยอยู่ที่เขาเสือมังกร เมื่อได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ เสนาหงจึงกราบทูลว่า ตนเองได้ไปเชิญเซียนวิเศษด้วยตนเอง แต่เนื่องจากเซียนวิเศษขี่นกกระเรียนเหาะมายังเมืองหลวง ตนเองต้องเดินทางด้วยเท้าจึงเพิ่งจะมาถึงวันนี้ ฮ่องเต้ปูนบำเน็จให้แก่เสนาหง แล้วไม่ทรงกล่าวอะไรอีก เหยินจงฮ่องเต้ครองราชย์อยู่ 42 ปี ไม่มีรัชทายาท บัลลังก์จึงตกแก่ ซ่งอิงจง (宋英宗) ซึ่งเป็นบุตรของ ผูอันอี๋อ๋อง หลานของ ซ่งไท่จงฮ่องเต้ ซ่งอิงจง ครองราชย์ได้ 4 ปี ก็สืบราชบัลลังค์ให้แก่ราชโอรส ซ่งเจ๋อจง (宋哲宗) แผ่นดินอยู่ในยุคสงบสุขตลอดมา จะว่าสงบสุขก็ไม่เชิงนัก เพราะท่ามกลางความสงบสุข ยังมีเรื่องราวของ 36 ดาวพญายม และ 72 ดาวเพชรฆาต ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ที่แฝงเร้นราวกับเสือซ่อนมังกรหลบรออยู่ภายภาคหน้า




ไม่มีความคิดเห็น: