1/31/2552

คิวปิด ตำนาน 2

ตำนานรัก~กามเทพ คิวปิด
กามเทพคิวปิด(Cupid) เป็นลูกของเทพเจ้าMarsที่เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามกับเทพี Venusซึ่งเป็นเทพีแห่ง

ความงามและความรัก ต่อมาเทพีวีนัสเกิดอิจฉาในความงามของเจ้าหญิงไซกีที่เป็นสาวแรกรุ่น นางเลยสั่งให้คิวปิดไป

แผลงศรใส่นางเพื่อให้เจ้าหญิงไซกีรักในบุรุษ แต่พอคิวปิดเห็นความงามของเจ้าหญิงไซกี คิวปิดก็ตกหลุมรักนาง

ต่อมาคิวปิดได้ลักลอบเข้าหานาง แต่คิวปิดก็ไม่ได้เปิดเผยตัวให้เจ้าหญิงรู้ และบอกว่าพยายามอย่ารู้ว่าตนเป็นใคร






คิวปิดหลงรักนางไซกี
บรรดาพี่สาวของเจ้าหญิงไซกีด้วยความอิจฉาน้องสาวก็เลยยุให้นางจุดตะเกียงในตอนที่คิวปิดหลับอยู่เพื่อดูหน้า

นางจึงทำตามที่พี่สาวบอก ด้วยความตะลึงในความงามสง่าของคิวปิด(จริงๆแล้วคิวปิดไม่ได้เป็นเทพเจ้าตัวเล็ก

อย่างที่สร้างรูปปั้น แต่คิวปิดเป็นเทพเจ้าที่งามสง่ามาก)ไซกีก็เผลอทำน้ำมันจากตะเกียงหกใส่ไหล่ของคิวปิด

คิวปิดโกรธก็เลยจากนางไป



นางไซกีกับบรรดาพี่สาวของนาง
ไซกีรู้สึกผิดก็เลยออกตามหาคิวปิดไปยังโบสถ์และศาสนสถานต่างๆ และเมื่อนางไปถึงโบสถ์ของวีนัส

นางก็ถูกกลั่นแกล้งสารพัด วีนัสสั่งให้นางไปขนหีบที่บรรจุเครื่องแต่งความงาม ด้วยความอยากรู้เจ้าหญิงไซกี

จึงเปิดดู และเมื่อเปิดไปแล้วนางก็ต้องพิษสลบไป คิวปิดตามมาช่วยนางแล้วพานางไป
เทพเจ้าจูปิเตอร์เห็นใจนาง จึงได้ดลบันดาลให้นางเป็นอมตะและครองคู่กับคิวปิดได้



รูปปั้นคิวปิด กับ นางไซกี

คิวปิด ตำนาน 1

คนทั่วไปรู้จักคิวปิดในภาพของเด็กน่ารักที่มีปีก มือถือคันธนูกับลูกศรและมีชื่อเสียงในเรื่องการยิงศรรักปักหัวใจของใครต่อใคร ศร รักของคิวปิดหมายถึงความปรารถนาและอารมณ์แห่งความรัก คิวปิดจะเล็งลูกศรไปที่พระเจ้าและมนุษย์เพื่อทำให้พระเจ้ากับมนุษย์รักกัน

คิวปิดมักจะมีบทบาทในการเฉลิมฉลองความรัก ในกรีกโบราณ คิวปิดเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่าเอโรสลูกชายแอฟโรไดท์ เทพธิดาแห่งความรักและความสวยงาม แต่สำหรับพวกโรมัน เขาคือคิวปิดและแม่ของเขาคือวีนัส

มีเรื่องน่าสนใจพอสมควรเกี่ยวกับคิวปิดและไซคีเจ้าสาวของเขาในเทพนิยายโรมัน ผมขอแนะนำผู้อ่านให้รู้จักคู่รักของคิวปิดสักนิดนะครับว่าเธอเป็นเทพธิดารูปงามในนิยายกรีกโบราณมีปีกเป็นผีเสื้อ และเพราะความ งามนี้เองที่ทำให้วีนัสอิจฉา นางจึงได้สั่งคิวปิดให้ลงโทษว่าที่ลูกสะใภ้เสีย แต่คิวปิดตกหลุมรักเธอเกินกว่าที่จะทำตามความต้องการของแม่ ดังนั้น แทนที่จะลงโทษเธอ คิวปิดกลับเอาเธอเป็นภรรยาเสียเลย แต่เนื่องจากไซคีมิได้เป็นอมตะ เธอจึงถูกห้ามมิให้มองเขา (ตรงนี้ผมไม่ทร าบเหมือนกันนะครับว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ได้เธอเป็นภรรยาแล้วภรรยามองไม่ได้ แต่อย่าไปคิดอะไรมากนะครับ เพราะเทพนิยายฝรั่งก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากละครน้ำเน่าบ้านเรา)

หลังจากตกเป็นภรรยาของคิวปิดแล้ว ไซคีก็มีความสุขเรื่อยมา (ก็แหงละ) จนกระทั่งพี่สาวของเธอได้รบเร้าให้เธอมองคิวปิด ทันทีที่เธอมองคิวปิด คิวปิดก็ลงโ ทษเธอด้วยการทิ้งเธอไปทันที พร้อมกันนั้นปราสาทและสวนอันสวยงามของเธอก็ต้องมลายหายไปด้วย หลังจากนั้นไซคีก็พบว่าตัวเองอยู่ตามลำพังในทุ่งโล่งแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นๆหรือคิวปิดปรากฏให้เห็นเลย

ในขณะที่เธอออกเดินทางค้นหาคนรักของเธอนั้น เธอก็มาถึงวิหารของวีนัสโดยบังเอิญ เมื่อวีนัสเทพธิดาแห่งความรักพบว่าไซคียังมีชีวิตอยู่ เธอก็ปราถนาที่จะ ทำลายไซคีด้วยการให้งานที่หนักและอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ งานสุดท้ายที่ไซคีได้รับมิใช่งานขับเครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรดครับ หากแต่เธอได้รับกล่องใบหนึ่งมาและได้ถูกสั่งให้ลงไปยังใต้โลกเพื่อเอา ความงามของโพรเซอร์พีนภรรยาของพลูโตใส่กล่องใบนี้มา ในระหว่างที่เธอเดินทางอยู่นั้น เธอก็ได้รับคำแนะนำให้รู้จักการหลีกเลี่ยงอันตรายจากอาณาจักรแห่งความตาย นอกจากนั้นแล้ว เธอยังได้ถูกเตือนมิให้เปิดกล่องใบนั้นอีกด้วย แต่เพราะทนไม่ไหวหรือเพราะความอยากรู้อยากเห็นหรืออะไรก็ไม่ทรา บ เธอได้เปิดกล่องใบนั้น แต่แทนที่จะพบกับความงาม เธอกลับต้องหลับเป็นตาย

ต่อมา คิวปิดได้มาพบร่างอันไร้ชีวิตของเธอบนพื้นดิน เขาจึงได้นำเอาอาการหลับเป็นตายออกจากร่างของเธอและนำมันไปเก็บไว้ในกล่อง หลังจากนั้นคิวปิดก็ได้ให้อภัยเธอเช่นเดียวกับวีนัส เมื่อเทพเจ้าทั้งหลายเห็นความรักที่เธอมีต่อคิวปิด จึงได้ตั้งให้เธอเป็นเทพธิดาองค์หนึ่ง

ที่มา www.khonmuslim.com

ปัจจุบันนี้ รูปคิวปิดแผลงศรเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่ผู้คนมักนิยมใช้กัน และเมื่อศ รรักของคิวปิดพุ่งโดนหัวใจหนุ่มสาวคนใดในวันวาเลนไทน์ หนุ่มสาวคนนั้นก็จะออกอาการ "สติวปิ้ด"จากศรรักของคิวปิดขึ้นมาทันที อาการนี้จะเห็นได้จากการส่งดอกกุหลาบสีแดง ส่งช็อคโกแล็ต การส่งบัตรอวยพรและอื่นๆอีกครับ
หมายเหตุท้ายบท : "สติวปิ้ด" เป็นภาษาอังกฤษแปลว่า "โง่" ครับ เหมือนคำบางคำที่เราอาจเคยได้ยินว่า “ความรักบางครั้งก็ทำให้คนตาบอด และ มองไม่เห็นข้อบกพร่องของคนที่เรารัก “

ธรรมเนียมปฎิบัติวันวาเลนไทน์

ประเทศอังกฤษ
- หลายร้อยปีก่อนในประเทศอังกฤษ เด็ก ๆ จะแต่งตัวลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ในวันวาเลนไทน์ แล้วร้องเพลงจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง ในเนื้อเพลง ท่อนหนึ่งจะกล่าวว่า "Good morning to you, Valentine ; Curl your locks as I do mine ---Two before and three behind. Good morning to you, Valentine."

ประเทศเวลส์
ผู้ที่มีความรักและชื่นชมในงานช้อนไม้แกะสลัก จะทำการแกะสลักช้อนและมอบให้เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ โดยจะสลักรูปหัวใจ และลูกกุญแจไว้บนช้อนนั้น ซึ่งมีความหมายว่า "คุณได้ไขหัวใจของฉัน" (You unlock my heart).
- เด็กหนุ่มสาวจะทำการเขียนชื่อคนที่ตัวเองชอบแล้วหย่อนไว้ในอ่างหรือชาม แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งชื่อเพื่อดูว่าใครจะเป็นคู่ของตัวเองในวันวาเลนไทน์ หลังจากนั้นก็จะเอาชื่อที่หยิบได้นี้มาติดไว้ที่แขนเสื้อเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ การทำเช่นนี้มีความหมายว่า คน ๆนั้นต้องการบอกคนทั่วไปรู้ได้ง่าย ๆ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร

ในบางประเทศ
ผู้หญิงจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายจากผู้ชาย แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้นั่นหมายถึงหล่อนจะแต่งงานกับเขา
บางคนมีความเชื่อว่า ถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกโรบินบินผ่านเหนือศรีษะตนเองในวันวาเลนไทน์ นั่นหมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับกะลาสีเรือ หรือถ้าผู้หญิงคนใ ดเห็นนกกระจอก หล่อนก็จะได้แต่งงานกับชายยากจนและจะมีความสุข และถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนก Goldfinch หมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี
- ในบางประเทศจะมีการทำเก้าอี้แห่งรักขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดกว้าง ในครั้งแรกที่มีการทำเก้าอี้นี้ขึ้นมาก็เ พื่อจะให้ผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดราตรีนั่ง ต่อมาเก้าอี้แห่งรักนี้ได้ทำขึ้นเป็นสองส่วนและมักจะทำเป็นรูปตัวเอส (S)ซึ่งการทำเก้าอี้ทรงนี้จะทำให้คู่รักสามารถนั่งด้วยกันได้ แต่จะไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไป

บางธรรมเนียมในบางแห่งของโลก
เด็กหนุ่มสาวจะนึกถึงชื่อของคนที่ตัวเองอยากจะแต่งงานด้วยประมาณห้าถึงหกชื่อ ในขณะที่ปอกเปลือกผลแอปเปิ้ลนั้นให้เป็นขดนั้น ก็ให้เอ่ยชื่อของคนที่นึกถึง ออกมาจนกว่าจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้หมดผล และเชื่อกันว่า คนที่จะได้แต่งงานด้วยนั้นคือคนที่เอ่ยชื่อถึงในขณะที่ปอกเปลือกของแอปเปิ้ลได้หมดพอดี
- และในบางประเทศมีความเชื่อว่า ถ้าหากผ่าผลแอปเปิ้ลออกมาเป็นสองซีก แล้วให้นับเมล็ดข้างในดู แล้วก็จะสามารถรู้จำนวนบุตรในอนาคตได้
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันตรุษที่เรียกว่า ลูเปอร์คาเลีย(lupercalia) มีความสำคัญมากในทางเพศ ผู้ชายจะวิ่งแก้ผ้าหาคู่เพื่อฉลองตรุษโดยจับฉลากชื่อหญิงสาวแล้วเกี้ยวพาราสีจนได้เป็นภรรยา ส่วนประเทศอังกฤษไม่ได้มาจากนักบุญ แต่บังเอิญมาตรงกันพอดี คือ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันเริ่มต้นปักษ์ที่ 2 แห่งเดือนที่สองของปี คนยุโรปจึงจับคู่กัน เอาเป็นวันส่งบัตรหรือของขวัญให้คนรัก นิยมในกลุ่มหนุ่มสาว ( จาก ข้าวไกลนา ของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช )

ที่มา http://www.naturethai.org/webboard/00187.html

แล้วทำไม? วันวาเลนไทน์ต้องให้ดอกกุหลาบด้วยนะ...สงสัยไหม...

ด้วยความที่กุหลาบมีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้วละ จึงทำให้ความสวยงาม

ของดอกและกลิ่นอันชวนพิสมัยของราชินีแห่งดอกไม้นี้เป็นที่เลื่องลือมาช้านาน

และล้วนกล่าวถึงความงามเป็นสื่อที่แสดงถึงความสุข ความมีไมตรีจิต ความน่ารัก

ความสวยงาม การบูชา และการเกี้ยวพาราสี ดังนั้น กุหลาบจึงเป็นเสมือนตัวแทน

แห่งความรัก และความอมตะจนมีตำนานกล่าวขานกันต่าง ๆ นานา ตั้งแต่สมัยกรีก

ตำนานเล่าว่า "คลอรีส" เทพธิดาแห่งดอกไม้ ได้บันดาลให้ร่างของนางไม้กลาย

เป็นกุหลาบ และยกให้เป็นราชินีของดอกไม้ จากนั้นต่อมาก็มีการมอบดอกกุหลาบแก่

"อีรอส" ลูกชายซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก ส่วนในศาสนาคริสต์เชื่อกันว่า ในสมัยที่

พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนอยู่นั้น พระโลหิตได้ไหลหยดลงบนต้นหญ้ามอสส์และ

ได้บังเกิดเป็นต้นกุหลาบที่มีดอกสีแดงสด จึงมีการเรียกขานกุหลาบชนิดนี้ว่า

"กุหลาบมอสส์"

นอกจากนี้ยังมีการสู้รบกันระหว่าง 2 ตระกูลใหญ่ คือราชวงศ์ยอร์ค

ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็นดอกกุหลาบขาว และราชวงศ์แลงแคสเตอร์ ใช้ดอก

กุหลาบแดงเป็นสัญลักษณ์ และได้เรียกสงครามครั้งนี้ว่า "สงครามกุหลาบ"

ซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1948-2028 แล ะในสมัย ต่อมาพวกกุหลาบแดงได้มา

แต่งงานกับพวก กุหลาบขาว ซึ่งในปัจจุบันกุหลาบได้ถือเป็นดอกไม้ประจำชาติ

ของชาวอังกฤษ ไป นี่แหละค่ะถ้าทุกคนมีความรักให้แก่กันแล้วโลกจะสงบสุขแน่นอน

เรามาดูกันในประเทศไทยบ้างค่ะมีเรื่องราวเล่าขานถึงความงดงามของดอกกุหลาบ

ไว้โดยปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์ของพระมหาธีราชเจ้า รั ชกาลที่ 6 ในเรื่อง

"มัทนะพาธา"หรือ "ตำนานดอกกุหลาบ" ซึ่งได้ปรากฏชัดว่าดอกกุหลาบได้กลาย

เป็นดอกไม้ที่นิยมไปทั่วโลก เรามาย้อนอดีต...กุหลาบ...ราชินีแห่งบุปผชาติ

ด้วยความโดดเด่นของรูปโฉมอันพิลาส กอปรกับกลิ่นหอมที่มีเสน่ห์เย้ายวนชวนให้

น่าหลงไหลกุหลาบจึงเป็นดอกไม้ที่นิยมมาตั้งแต่อดีตกาล โดยสันนิษฐานว่า

กุหลาบถือกำเนิดมาตั้งแต่สมัย Taceous หรือเมื่อประมาณ 40 ล้านปีมาแล้ว
โดยดูได้จากซากฟอสซิลที่ขุดพบโดยนักวิทยาศาสตร์

แต่หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดแน่นอนจะอยู่ในราว 5,000 ปี

ที่ผ่านมาตั้งแต่สมัย สุเมเรียน (Sumerians)โดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษ

ได้ขุดค้นพบน้ำที่มีกลิ่นกุหลาบในหลุม ศพของกษัตริย์ในสมัยนั้น นอกจากนี้

ยังค้นพบเครื่องประดับของชาวสุเมเรียน ซึ่งมีรูปทรงเป็นดอกกุหลาบทำ

ด้วยทองคำ

แต่ในบางแหล่งได้กล่าวไว้ว่า กุหลาบมีกำเนิด ณ เทือกเขา

คอเคซัส ประเทศเปอร์เซีย หรืออิหร่านในปัจจุบันและมีชื่อเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า

"คุล" Gol หรือ Gul ซึ่งแปลว่า ดอกไม้ และคำว่า "คุลาพ" หมายถึง

กุหลาบอย่างที่คนไทยเราเรียกกัน

สำหรับประเทศไทยไม่ทราบแน่ชัดว่า มีกุหลาบมาตั้งแต่สมัยใด

หากแต่มีการบันทึกของราชทูตฝรั่งเศส ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ว่าได้เห็นดอกกุหลาบอยู่ในกรุงศรีอยุธยา และอีกหลายแห่งที่ปรากฎหลักฐานว่า

มีกุหลาบเข้ามาเมือง- ไทยแล้วก็คือ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก

ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ที่ได้กล่าวถึงความงาม

ของดอกกุหลาบไว้ด้วย

ทำไมต้องให้ดอกกุหลาบในวันนี้กัน ประเพณีของหนุ่ม-สาวชาวอาทิตย์อุทัย

หรือชาวญี่ปุ่นนั่นเองจะแตกต่าง กับ ชาติ อื่น ๆ คือในวันที่ 14 กุมภาพันธ์

หรือ วันวาเลนไทน์ สาว ๆ จะเป็นคนให้ ช็อกโกเลต (Chocolate)

รูปหัวใจขนาดเล็ก-ใหญ่แล้วแต่ความชอบน้อย-มาก ตัวเองทำเองแก่หนุ่ม ๆ

ที่เธอชอบ เรียกว่าวันนั้นหนุ่ม ๆ ยิ้มกันแก้มปริกันเป็นแถวเลยจ๊ะ

หลังจากวันนั้นอีกหนึ่งเดือนคือวันที่ 14 มีนาคมหนุ่ม ๆ ก็จะมอบดอกกุหลาบ

เพื่อเป็นการขอบคุณสาวผู้ให้ สำหรับในเ มืองไทยนั้นเท่าที่เห็นส่วนใหญ่

ผู้ชายมักจะเป็นฝ่ายให้ดอกกุหลาบกับผู้หญิงมากกว่า : )

ข้อมูลจากนิตยสาร ผาสุก , 108 ซองคำถามของนสพ.สารคดี และ จุลสาร 3495 News

คาถารัก

" ๔ อ. คาถารักษา รัก ให้ยั่งยืน"ซึ่งคาถา ในที่นี้ มิใช่มนต์ที่จะเสกเป่าให้คนมารัก มาชอบ

แต่เป็นเหมือนแนวทางให้คู่รัก หรือแม้แต่คู่สามีภริยาได้นำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความสุข

ความสดชื่นในชีวิตคู่ต่อไป
อ.แรก คือ เอาใจใส่ ธรรมชาติของคนเราไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนพอใจให้มีคนมาเอาใจ

ใส่ต่อตัวเราทั้งสิ้น ยิ่งเป็นแฟนหรือคนใกล้ชิดทำให้ก็ยิ่งทวีความสุขใจ การเอาใจใส่ในที่นี้

นับตั้งแต่การให้ความสนใจไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน ให้ความห่วงหาอาทร

อย่างสม่ำเสมอ เอาใจเขามาใส่ใจเรา คอยเอาใจ ช่วยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน

ไม่เอาแต่ใจตัวหรือเอาแต่ได้ ที่สำคัญคือ ไม่เอาใจออกห่างจนเกิดปัญหาตามมา
อ.ที่สอง คือเอื้อนเอ่ยวาจาดี โดยปกติ คนเรามักจะพูดจากับผู้ที่เราไม่รู้จักด้วยถ้อยคำ

ที่ไพเราะสุภาพ แต่เมื่อสนิทชิดเชื้อกันแล้ว ปรากฏว่าหลายค นมักจะขาดความเกรงใจต่อกัน

และบ่อยครั้งก็พูดจากันด้วยคำไม่เหมาะสม ก้าวร้าว ซึ่งจริงๆแล้วไม่ว่าจะสนิทกันเพียงไหน

ถ้อยคำที่ไพเราะ อ่อนหวาน สุภาพก็ยังเป็นสิ่งฟังแล้วรื่นหู ให้ความสบายใจ

. ยิ่งเป็นคำชื่นชมด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือคู่ครอง ย่อมฟังแล้วเกิดความชื่นใจ

มีกำลังใจเพิ่มขึ้น ดังนั้น เราจึงควรพูดดีต่อกัน แม้แต่การตำหนิก็ไม่ควรใช้ถ้อยคำที่รุนแรง

หรือดุด่าให้คนฟังเสียน้ำใจ
อ.ที่สาม คือ อดทน การที่คนสองคนจะมาเป็นแฟนหรือกลายมาเป็นสามีภริยา

กันในอนาคตได้นั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ ความอดทนซึ่งกันและกัน เพราะการที่มาจาก

คนละครอบครัวอันมีความต่างกันไม่มากก็น้อย ย่อมต้องใช้เวลาศึกษาและปรับตัวเข้าหากัน

หากไม่มีความอดทนเพียงพอ ก็อาจจะต้องเลิกรากันไปก่อน ที่จะรู้จักกันดีเสียอีก

และเมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว ก็ยิ่งต้องมีความอดทนมากขึ้น เพราะการดำรงชีวิตคู่

ยังต้องช่วยกันทำมาหากิน และช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคข้างหน้าอีกมากมาย
อ.ที่สี่ คือ อภัยแก่กันและกัน ในชีวิตของคนเรานั้น ย่อมมีผิดพลาดกันเป็นธรรมดา

ดังนั้น การรู้จักให้อภัยทั้งแก่ตัวเอง และคนที่เรารักจึงเป็นสิ่งจ ำเป็น มิฉะนั้นแล้ว

เราจะอยู่กันด้วยความกินแหนงแคลงใจต่อกัน หรือโกรธกันอยู่ตลอดเวลา

ทำให้ไม่มีความสุขทั้งคู่ เพราะจิตใจเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ไม่สบายใจ

เจ็บใจไม่หาย หรือบางคนก็หาทางแก้แค้น กลายเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันไม่รู้จบสิ้น

การให้อภัยจึงเป็นการสร้างความสงบสุข ร่มเย็นให้แก่จิตใจและชีวิตคู่ของเรา
ทั้ง ๔ อ. นี้ เป็นเพียงแนวทางกว้างๆ ที่เชื่อว่าใครปฏิบัติแล้วจะช่วยให้ชีวิตคู่รัก

และคู่ครองมีความมั่นคง ยืนยาวยิ่งขึ้น และนอกเหนือไปจาก ๔ อ.ข้างต้นแล้ว

สำหรับวัยรุ่น หรือเด็กๆที่ยังอยู่ในวัยเรียน ควรเพิ่ม อ.อดใจ เข้าไปด้วย คือ

จะรักจะชอบใคร ก็ควรยับยั้งชั่งใจให้ดี เพราะวัยนี้ก็ยังรับผิดชอบตัวเองไม่ค่อยได้

อย่าไปมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เพราะนอกจากจะสร้างปัญหาให้ตัวเอง

และครอบครัวแล้ว ยังจะก่อให้เกิดปัญหาสังคมอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ในปัจจุบัน

ซึ่งคงไม่มีใครปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น แน่นอน

ความหมายของการส่งดอกไม้ส่งวาเลนไทน์


กุหลาบแดง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ" I love Selarath,Sithy
กุหลาบแดงเข้ม(สีเหมือนไวน์แดง) แทนคำว่า "เธอช่างสวยเหลือเกิน กุหลาบตูมสีแดง แสดงให้เห็นถึงความรักที่ไร้เดียงสา "รักของฉันเพิ่งแรกแย้ม และอ่อนต่อโลก" กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว เขาอยากจะบอกให้คุณรู้ว่า "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"

กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ บอกว่า "ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน" -กุหลาบตูมสีขาว แสดงถึงความมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไร้เดียงสาในเรื่องความรัก - กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว แทนความหมาย "เสน่ห์ของเธอมันจืดจางลงแล้ว"

กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน ความงดงามและความอ่อนโยน


กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส ถูกใช้สำหรับแทน ความรักแบบเพื่อน และความสนุกสนานรื่นเริงจึงมักจะนำมันมาประดับตะกร้า สำหรับเยี่ยมผู้ป่วยเพื่อทำให้คนป่วยรู้สึกสดชื่นรื่นเริงขึ้นนั่นเอง สำหรับดอกไม้อื่น ๆ ที่ถูกมาใช้แทนความหมายแห่งความรักก็มี


-กุหลาบแดงและขาวรวมกัน สื่อความหมายให้รู้ว่า "สองเราเป็นหนึ่งเดียวกัน"
-กุหลาบสีส้ม เพื่อบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมา

-กุหลาบตูม ที่มีทั้งใบและหนาม บอกให้รู้ว่า "แม้ฉันจะวิตกอยู่บ้าง แต่รู้ว่าเธอคงไม่ปฎิเสธ"

-กุหลาบตูมที่ริดใบทิ้งหมด แสดงให้เห็นว่าผู้ให้รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่าน่ากลัวไปหมด

-กุหลาบตูมที่ริดหนามทิ้งหมด แสดงให้เห็นถึงความหวังที่มีอย่างเปี่ยมล้น

-กุหลาบบานหนึ่งดอก และกุหลาบตูม 2 ดอก อยากบอกว่า "นี่คือความรักที่ฉันแอบซ่อนไว้"
-กุหลาบไร้หนาม ให้รู้ว่า "เธอช่างมีเสน่ห์น่าหลงไหลแม้ยามแรกพบ"
-กุหลาบดอกเดียวแทนความหมาย "รักฉันแม้เรียบง่าย แต่ก็มั่นคงกับเธอผู้เดียว"
ดอกทิวลิบสีแดง (red tulib) ชาวตะวันตกใช้มันแทนการประกาศความรัก
อย่างเปิดเผย คล้าย ๆ กับดอกกุหลาบแดง
ส่วนดอกคาร์เนชั่นสีชมพู(pink carnation) ใช้สื่อความหมายว่า "ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ"
หรือ "คุณยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ" .
ดอกลิลลี่สีขาว (white lilly) แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบขาว
นอกจากนั้นลิลลี่สีขาวยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวานจริงใจ และเทอดทูน
และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้ได้รู้จัก และอยู่ใกล้คุณ "
สำหรับดอก forget-me-not มีความหมายตรงตัวคือได้โปรดอย่าลืมฉัน
และอย่าลืมความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน มาถึงดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปในบ้านเราบ้าง
ดอกทานตะวัน (sunflower) มีความหมายถึงความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา
แต่สำหรับชาวตะวันตกดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้
แทนความรักที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา จะเห็นได้ว่าดอกไม้เป็นประดิษฐกรรม
ทางธรรมชาติที่มนุษย์เรานำมาใช้เป็นสื่อแทนความหมาย
แห่งความรักได้หลายรูปแบบ การมอบดอกไม้ให้กับคนที่เรามีความรู้สึกพิเศษ
จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควร มองข้าม...Vlentine นี้คุณมีดอกไม้ในใจที่จะให้คนที่คุณรักแล้วหรือ
จากเว็บ
http://sex.sanook.com/romance/inlove/inlove_11479.php
http://www.catholic.or.th/spiritual/article/valentine/va010.html

เลือกของขวัญวาเลนไทน์

การเลือกของขวัญให้ใครต่อใครในโอกาสต่างๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งเลือกให้คนพิเศษในเทศกาลแห่งความรักด้วยแล้วก็ยิ่งต้องพิถีพิถัน เพื่อให้คนรับปลื้ม พอใจ และคนให้ก็มีความสุขด้วยแล้วคุณรู้มั้ยว่าของขวัญที่คุณเลือกและมอบให้เขาหรือเธอนั้น บอกให้ผู้รับรู้ได้ด้วยว่าคุณเป็นคนแบบไหน ของแต่ละอย่างเป็นสัญลักษณ์ของอะไร บ่งบอกความเป็นคุณอย่างไร

ช่อดอกไม้ สัญลักษณ์ของความรักและความปรารถนาดีการให้ช่อดอกไม้แสดงให้เห็นว่า คุณเป็นคนมีความเป็นตัวของตัวเองสูง โรแมนติกไม่น้อย เป็นคนเจ้าชู้ไม่เบาเลย มีความละเอียดอ่อน นอกจากนี้ยังดื้อเงียบและหยิ่งอีกด้วย

ตุ๊กตา สัญลักษณ์แห่งความปรารถนาดีและมิตรภาพตุ๊กตาเป็นของขวัญที่คนส่วนใหญ่นิยมมอบให้กัน เพราะเป็นกลางที่สุด เป็นการแสดงให้รู้ว่าคุณชอบให้ของขวัญหรือของฝากกับคนอื่นอยู่เสมอ เป็นคนที่มีความหวานอยู่ในจิตใจ มองโลกในแง่ดี อารมณ์แจ่มใสเสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนรั้น ดื้อเงียบ เอาแต่ใจตัวเอง

ของรูปหัวใจ สัญลักษณ์ของความรักและความผูกพันของใช้ที่ทำเป็นรูปหัวใจที่เห็นกันบ่อยๆ เช่นเครื่องประดับที่เหมาะกับสาวๆ ส่วนหมอนหรือกล่องดนตรีจะเหมาะกับหนุ่มๆ การให้ของขวัญแบบนี้แสดงว่าคุณเป็นคนโรแมนติกมาก ให้ความสำคัญกับความรัก ความผูกพัน ความห่วงใยในคนอื่น เป็นคนช่างคิด ช่างฝัน

น้ำหอม สัญลักษณ์แห่งเสน่ห์และความปรารถนาคุณเป็นคนมีรสนิยมดี ชอบของสวยๆ งามๆ ค่อนข้างสำอางมีเสน่ห์ ชอบสร้างความประทับใจให้แก่ผู้อื่น เข้ากับคนได้ง่าย แต่มักห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองเกินไป

ช็อกโกแลตหรือคุกกี้ สัญลักษณ์แห่งความรักและมิตรภาพคุณเป็นคนอารมณ์ดี มองโลกแง่ดี ไม่มีพิษภัยกับใคร แม้ดูเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ ชอบความสนุกสนาน แต่คุณก็มีความรับผิดชอบสูง มีน้ำใจ แม้เจ้าชู้ไปบ้างแต่ก็ไม่หลายใจนะ

เครื่องประดับ สัญลักษณ์แห่งความหรูและความสำเร็จคุณเป็นคนช่างสังเกต ช่างเลือก ช่างคิด ให้ความสนใจในการวางตัวและสร้างภาพลักษณ์ เป็นคนมีรสนิยมดี รักสวยรักงาม ชอบโดดเด่น

ผลิตภัณฑ์อะโรมา สัญลักษณ์ของความหวังและแรงบันดาลใจคุณเป็นคนโรแมนติก ชอบท่องเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง ใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษ ช่างคิด ช่างฝัน ภายนอกเหมือนคนอ่อนโยน แต่จริงๆ กลับเป็นคนดื้อเอาแต่ใจตัวเองเหมือนกัน

ผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลผิว สัญลักษณ์ของความรัก ความปรารถนาดี เสน่ห์และความสุขคุณเป็นคนเอาใจใส่และเข้าใจคนอื่นโดยเฉพาะคนรักของคุณ เป็นคนโรแมนติก สร้างความประทับใจเก่ง ช่างเลือก ช่างคิด เก่งในด้านการตัดสินใจ

จาก http://th.88db.com/th/Knowledge/Knowledge_Detail.page/Wedding/?kid=1518&lang=en-us

1/30/2552

1. ห้ามหาราชันย์แต่ละพระองค์ มีความสามารถทางด้านใดบ้าง (2.5 คะแนน)


1.1.พระเจ้าหวงตี้........................................................................................................................................1.2.พระเจ้าจวนซวี่......................................................................................................................................1.3.พระเจ้าตี้คู่.............................................................................................................................................1.4.พระเจ้าเหยา..........................................................................................................................................1.5.พระเจ้าซุ่น............................................................................................................................................

1/26/2552

Homework PRE 290

งบดุลของบริษัท ก้าวไกล จำกัด ในปี 2547 (หน่วยพันบาท)

เงินสด 4,000
เงินลงทุนชั่วคราว 2,000
ลูกหนี้การค้า 6,000
สินค้าคงคลัง 18,000


รวมทรัพย์สินหมุนเวียน 30,000 ***
สินทรัพย์ถาวร
ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 85,000

ค่าเสื่อมราคาสะสมของสินทรัพย์ถาวรทั้งหมด 5,000

รวมทรัพย์สินถาวร 80,000

รวมสินทรัพย์ 110000 *****
หนี้สินหมุนเวียน


เจ้าหนี้การค้า 5000

หนี้สินหมุนเวียนอื่น 5000

รวมหนี้สินหมุนเวียน 10000 *****
หนี้สินระยะยาวเงินกู้ระยะยาว 50000


รวมหนี้สินทั้งหมด 60000 ******

ส่วนของผู้ถือหุ้น

หุ้นสามัญ 30000

กำไรสะสม 20000

รวมส่วนผู้ถือหุ้น 50000

รวมหนี้สินและผู้ถือหุ้น 110000 *****
งบกำไรขาดทุนของบริษัท ก้าวไกล จำกัด ในปี 2547 (หน่วยพันบาท)


รายได้จากการขาย 100,000

หัก ต้นทุนสินค้าขาย 65,000

กำไรขั้นต้น 35000

หัก ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 12,000

กำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ย 23000 ******

หัก ดอกเบี้ยจ่าย 5,000

กำไรก่อนภาษี 18000

หัก ภาษี 30% 5400

กำไรสุทธิ 12600 ******

Current Ratio(อัตราส่วนทุนหมุนเวียน) = สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน

= 30000/10000 =3

Quick Ratio(อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว) = สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงคลัง - ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า /

หนี้สินหมุนเวียน = 30000-18000/10000 = 1.2

Collection Period (ระยะเวลาในการเก็บหนี้) = (ลูกหนี้การค้า)(365 วันต่อปี )/รายได้จากการขาย = (6000X365)/100000 = 21.9

Debt to Total Assets Ratio (อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวม) = หนี้สินรวม/ สินทรัพย์รวม
= 60000/110000 *100 = 54.55%


Time Interest Earned Ratio (ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย) =กำไรก่อนหักภาษีและดอกเบ็๊ญ/

ดอกเบี้ยจ่าย = 23000/500 = 4.6

Return on Equity Ratio (อัตราผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น) = กำไรสะสม/ ส่วนของผู้ถือหุ้น

= 12600/50000 X 100 = 25.20%

จงตอบคำถามดังต่อไปนี้โดยการเติมค่าลงในตาราง (ใช้เวลาไม่ควรเกิน 40นาที) ประเด็น ปี 2547 คะแนน

1. รวมสินทรัพย์หมุนเวียน = 30,000

2. รวมสินทรัพย์ถาวร = 80,000

3. สินทรัพย์ทั้งหมด = 110000

4. รวมหนี้สินหมุนเวียน = 10000

5. รวมหนี้สินทั้งหมด =60000

6. กำไรสุทธิ =12600

7. Current Ratio = 3

8. Quick Ratio =1.2

9. Collection Period = 21.9

10. Debt to Total Assets Ratio =54.55%

11. Time Interest Earned Ratio =4.6

12. Return on Equity Ratio =25.20%

1/21/2552

"อั่งเปา" กับ "แต๊ะเอีย" ต่างกันยังไงใคร...




หลายคนมีความสงสัยว่า "อั่งเปา" และ "แต๊ะเอีย" นั้นแตกต่างกันยังไง

ทำไมถึงเรียกไม่เหมือนกัน และจริงๆ ควรเรียกว่าอะไรกันแน่... คำตอบก็คือ

จริงๆ แล้วเราสามารถเรียกได้ "อั่งเปา" และ "แต๊ะเอีย" แต่ความแตกต่าง

ของสองคำนี้อยู่ตรงที่ ...


คำว่า "อั่ง" แปลว่า สีแดง
คำว่า "เปา" แปลว่า ซอง ห่อ
"อั่งเปา" แปลว่า ซองสีแดง แต่ความหมายของอั่งเปาอยู่ที่ของในซองสีแดง


ซึ่งหมายถึง เงิน หรือ ธนบัตร หรือ เช็คแลกเงินที่อยู่ในซองนั้นมากกว่า

"อั่งเปา" คือ ซองสีแดงที่ผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้วหรือมีรายได้จะใส่เงินแล้ว

นำมาให้ผู้น้อย หรืออาจจะแลกเปลี่ยนกันเองในหมู่ญาติพี่น้อง
สีแดงของซองเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความโชคดี และเงินที่บรรจุ

ภายบางครั้งจะเป็นเลขนำโชค เช่น เลข 8 อ่านในภาษาจีนจะมีความ

หมายถึงความรุ่งเรือง หรือความร่ำรวย


"แต๊ะ" แปลว่า ทับ หรือ กด
"เอีย" แปลว่า เอว
"แต๊ะเอีย" แปลว่า ของที่มากดหรือทับเอว


ส่วน "แต๊ะเอีย" นั้นมีที่มาจากในสมัยก่อน เหรียญเงินที่ชาวจีนใช้จะมีรูตรงกลาง

ตามธรรมเนียมปฏิบัติผู้ใหญ่จะร้อยเหรีญเงินเหล่านั้นด้วยเชือกสีแดงเป็นพวงๆ

และนำมามอบให้เด็กๆ ในเทศกาลตรุษจีน พวกเด็กๆ ก็มักจะนำมาผูกเก็บไว้ที่เอว

และนอกจากการให้อั่งเปาหรือแต๊ะเอียแล้ว ชาวจีนยังมีอีกธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำ

สืบต่อกันมานั่นก็คือ การอวยพรในวันตรุษจีน ซึ่งเราจะได้ยินกันบ่อยๆ เช่น

"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ซึ่งแปลเป็นไทยว่า "ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่"

หรืออาจจะกล่าวอวยพรว่า "เกียฮ่อซินนี้ ซินนี้ตั้วถั่น" ซึ่งแปลว่า "สวัสดีปีใหม่

ขอให้ร่ำรวยๆ" อีกฝ่ายที่ได้รับคำอวยพรก็จะกล่าวตอบว่า "ตั่งตังยู่อี่" ซึ่งแปลว่า

"ขอให้สุขสมหวังเช่นกัน" เป็นต้น


คลิป ตรุษจีน 2552 ปีใหม่จีน ต้อนรับ เทศกาลตรุษจีน กับ สาวหมวย สวย

1/20/2552

Traditional New Year Foods

Probably more food is consumed during the New Year celebrations than any other time of the year. Vast amounts of traditional food is prepared for family and friends, as well as those close to us who have died



On New Year's Day, the Chinese family will eat a vegetarian
dish called jai. Although the various ingredients in jai are
root vegetables or fibrous vegetables, many people attribute
various superstitious aspects to them
* Lotus seed - signify having many male offspring
* Ginkgo nut - represents silver ingots
* Black moss seaweed - is a homonym for exceeding in wealth
* Dried bean curd is another homonym for fulfillment of wealth
happiness
* Bamboo shoots - is a term which sounds like "wishing
that everything would be well"
* Fresh bean curd or tofu is not included as it is white and
unlucky for New Year as the color signifies death and misfortune.
Other foods include a whole fish, to represent togetherness and
abundance, and a chicken for prosperity. The chicken must be
presented with a head, tail and feet to symbolize completeness.
Noodles should be uncut, as they represent long life.
In south China, the favorite and most typical dishes were nian gao,
sweet steamed glutinous rice pudding and zong zi
(glutinous rice wrapped up in reed leaves), another popular delicacy.
In the north, steamed-wheat bread (man tou) and small meat
dumplings were the preferred food. The tremendous amount of food prepared at this time was meant to symbolize abundance and
wealth for the household.

1/19/2552

เรียนรู้วัฒนธรรมตรุษจีน

จากเว็บไซด์ http://variety.teenee.com/foodforbrain/6174.html



ในเทศกาลตรุษจีน จะเห็นการจับจ่าย ตระเตรียมบรรดา

อาหารสำคัญไม่ว่า หมู ไก่ ผลไม้ ขนมเทียน ขนมเข่ง เพื่อไหว้บรรพบุรุษแล้ว ในวาระสำคัญเทศกาลปีใหม่ และถือเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูการเพาะปลูก
นั่นคือ ฤดูใบไม้ผลิ แฝงไว้ด้วยว่าขอให้การทำมาหากินเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง

รศ.พรพรรณ จันทโรนา นนท์ อาจารย์สาขาภาษาจีน ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง บอกเล่าว่า
เมืองจีนกับประเทศไทยไม่ต่างกันในเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ ชาวจีนสร้างชาติด้วยความเป็นเกษตรกร ฤดูกาลที่ผันเปลี่ยนสัมพันธ์กับการเพาะปลูก
ชาวจีนมี 4 ฤดู คือใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ซึ่งฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูกาลแรกแห่งปีเทศกาลตรุษจีนจะมาถึง

“แผ่นดินจีนมีหลากหลายชนเผ่า แต่ละท้องถิ่นมีประเพณีแตกต่างกัน เช่น ชาวจีนทางภาคเหนือเมื่อใกล้วันตรุษจีน 8 ค่ำ เดือน 12

จะเริ่มกินโจ๊ก ที่เรียกว่า ลาบปาโจว โดยนำเอาธัญพืชมา ต้มรวมกัน แต่ขณะที่คนทาง ใต้จะไม่มีประเพณีนี้”


รศ.พรพรรณ เท้าความ ให้ฟังว่า

ชาวจีนในบ้านเราส่วนใหญ่มาจาก มณฑลกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ กลุ่มเชื้อชาตินี้จะมีประเพณีปฏิบัติในวัน ตรุษจีนคล้าย ๆ กัน อย่างเช่นของเซ่นไหว้ เลือกใช้หมู ไก่ ปลา กุ้ง เหตุผลที่ไหว้ด้วย “ไก่” เพราะเป็นสัตว์ที่มีความบู๊และบุ๋นอยู่ในตัว อีกทั้งหงอนไก่ ซึ่งเรียกว่า “จีกวน” หมายถึงข้าราชการ ดังนั้นไก่จะสื่อถึงความเป็นคหบดี เจ้าคนนายคน

และมีลักษณะอยู่ 4 ประการที่คนเป็นเสนาบดีจะมีคล้าย กับไก่

ประการที่ 1. คือมีเดือยแหลมคมสามารถต่อสู้ได้

ประการที่ 2 สามารถบอกเวลาได้หมายถึง มีประโยชน์

ประการที่ 3 รักเพื่อนพ้อง นิสัยของไก่เมื่อมี ของกินจะเรียกพรรคพวกมาร่วมกินด้วยเสมอ

ประการที่ 4 มีความกล้าหาญ เพราะจะสู้ยิบตาเมื่อเจอศัตรู
ส่วน “กุ้ง” เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล คิด จะทำการใดก็ไม่มีอุปสรรคมา ขวางกั้น “ปู” หมายถึงความเป็นที่หนึ่ง

ประเพณีตรุษจีนนอกจากจะเห็นบรรดาอาหารที่มีความหมายมีความนัยดีงามแฝงไว้แล้วนั้น ในวันสำคัญนี้บรรดาอาคารบ้านเรือนจะมีสิ่งของมงคลเป็นเครื่องห้อยเครื่องแขวนประดับประดิดประดอย ไว้ด้วย ทำออกมาเป็น “น้ำ เต้า” “หยก” “พัด” “ถั่วลิสง” “โคมไฟ” หรือ “ภาพเขียนจีน” แม้กระทั่ง “ตุ้ยเลี้ยง” สิ่งมงคลที่ต้องซื้อหามาเป็น เจ้าของในเทศกาลนี้

ผู้รู้ด้านจีนคนเดิมถอดรหัสของบรรดาข้าวของสิ่งเหล่านี้ให้ฟังว่า

สิ่งของประดับเหล่านี้จะมีสิ่งละอันพันละน้อยประกอบเข้าด้วยกัน ที่พบเห็นทั่วไป คือ “ยันต์แปด” หรือภาษาจีน ออกเสียงว่า “ผันฉัง” เป็นของสิริมงคลสื่อความหมายถึงอยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป

ขณะที่มีเชือกถักอีกแบบที่พบเห็นตามศาลเจ้า เรียกว่า “กังสดาล” ถือเป็นสิ่งมงคลเช่นกันแต่ทำหน้าที่คล้ายกับยันต์คือขจัดสิ่งอัปมงคลทั้งหลายภูตผีปิศาจให้ออกไปจาก อาคารบ้านเรือน



“หยก” คนจีนเชื่อว่า

เป็นหินพิเศษที่สามารถปกป้องขจัดสิ่งอัปมงคล และยังเชื่อด้วยว่าเมื่อมีหยกอยู่ในบ้าน หรือสวมใส่หยกติดตัว หยก

จะช่วยรับเคราะห์ร้ายต่าง ๆ แทน และยังทำให้เกิดมงคลขึ้น อีกด้วย

วันตรุษจีน เป็นวันที่ทุกคนขอให้ได้เงินเยอะ ๆ ร่ำรวย เฮง ๆ บางครั้งในสิ่งของเหล่านี้จะมีลวดลายหรือ

รูปของเงินตราจีนโบราณเรียกว่า “หยวนเป่า” หน้าตาคล้ายกับเรือลำเล็ก ๆ หมายถึง โชคกำลังมาถึงท่านแล้ว มีแต่ความร่ำรวยมาถึงท่านในเร็ววัน

ส่วน “พัด” ภาษาจีนเรียกว่า

ซ่าน” พ้องกับคำที่ มีความหมายว่าเมตตากรุณา ของจีน นอกจากนี้บางครั้งเราจะเห็น “ถั่งลิสง” ติดมาด้วย หมายถึง

ความมีลูกหลานมากมาย มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง มีเงินทองมากมายไม่รู้จักหมดสิ้น

“น้ำเต้า” มีความเป็น สิริมงคลอย่างหนึ่งของศาสนาเก่า แปลว่ามีอายุยืนยาว มีลูก เต็มบ้านหลานเต็มเมือง และ ยังเชื่อว่าจะช่วยขจัดภูตผีปิศาจออกไปด้วย

“รูปพระยิ้ม” เรียกว่า “เจ้าโขง ถัง ขว่าย” สิ่งสิริมงคลของศาสนาเก่า เชื่อว่า ยิ้มเมื่อไหร่โชคเข้ามา “ดอกบัว” สิ่งมงคลในทางพุทธศาสนา พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ประทับอยู่ในดอกบัว อย่างเช่นเจ้าแม่ กวนอิมเป็นต้น

ขณะที่ “โคมไฟ” เป็นสิ่งสิริมงคลอีกอย่างหนึ่ง โคมไฟแดง เมื่อเทศกาลจีนผ่านไป 15 วัน จะมีเทศกาล “เหยือน เซียว” เทศกาลประกวดโคมไฟ ในวัน 15 ค่ำ เดือน 1 ถือเป็นวันสุดท้ายของปีที่ฉลองอย่าง ยิ่งใหญ่ ในขณะที่ชาวจีนแต้จิ๋ว เรียกเทศกาลนี้ว่า “เหยือน เซียว เจอะ” จะประกวดกันว่าบ้านไหนมีลูกชาย จะนำผ้าสีแดงติดที่ประตูบ้าน จะมีคนมาแสดงความยินดีด้วย



ในวันนี้จะนำลูกชายไปไหว้เจ้าด้วย

จะต้องเอาตะเกียงสีแดงไปแขวนไว้ที่ศาลเจ้า บอกกล่าวกับเทพเจ้าว่า บ้านนี้มีลูกชายไว้สืบสกุลแล้ว ขณะที่บ้านไหนมีลูกผู้หญิงจะปิดประตูเงียบเชียบ บรรดาของมงคลหรือเครื่องรางเหล่านี้บางทีมีตัวหนังสือภาษาจีนเขียนติดไว้ เล็ก ๆ เช่น “ชู หิ้ว ผิง อาน” หมายถึง อยู่เป็นสุขทุกที “ว่าน ซื่อ หยูว อี้” หมายถึงให้ สมปรารถนาในทุกประการ

นอกจากสิ่งของบรรดาเครื่องห้อยแขวนนำสิ่งมงคลมาประดิษฐ์ร้อยรวมกันให้ดูงามตา แล้ว ในเทศกาลตรุษจีนสิ่งที่ต้องซื้อหาคือ ตุ้ยเลี้ยง คือการเขียนคำอวยพรลงในกระดาษสีแดง เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนจีน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นและมีความหมายอย่างสูง คำที่ใช้จะมี 4 คำ มีความหมายเน้นไปทาง สิริมงคล สมบูรณ์พูนสุข โชคลาภร่ำรวย

“คนจีนจนแค่ไหนก็ตามพอถึงวันตรุษจีนขอให้มีตุ้ยเลี้ยงดีๆหนึ่งคู่ติดไว้ตรงทางเข้าบ้านทั้งสองข้าง และต้องมีภาพวาดตรุษจีนที่มีความหมายดี ๆ เป็นภาพที่แปลว่าให้มีเหลือมีใช้ทุกปี มีเงินทองมาก ๆ เช่นภาพปลา หมายถึงมีเหลือมีใช้ตลอดปี ภาพตรุษจีนจะเปลี่ยนทุกปี ตัวภาพจะมีสีสันสวยงาม สีแดง สีเขียวแล้วแต่” รศ. พรพรรณ บอกเล่า

ย่านเยาวราช บริเวณริมทางเท้าตรงข้ามตลาดใหม่ มีร้านจำหน่ายสิ่งของมงคลอยู่ หลายร้านไม่ว่าจะเป็นเชือกถัก น้ำเต้า โคมไฟ เหล่านี้เป็นสินค้าขายดิบขายดีอีกอย่างนอกจากอาหารไหว้เจ้า

สถาพร แซ่ลี่ พ่อค้าขายสินค้ามงคล บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ไชน่าทาวน์มานาน 5 ปี บอกเล่าว่าราคาของที่เริ่มต้นตั้งแต่ 35 บาท จนถึงพันบาทแล้วแต่ขนาดเล็กใหญ่ แต่ที่ ขายดีคือถุงใส่ส้ม เพราะเป็นสินค้าราคาถูกราคา 20 บาท ในเทศกาลตรุษจีนทุกคนต้องซื้อ

นอกจากนี้ยังนิยมซื้อตุ้ยเลี้ยงสำเร็จ

ต่างจากตุ้ยเลี้ยงแบบเก่าที่นิยมเขียนสด ๆ เพราะมีสีสันสวยงาม มีสีทองคนซื้อจะเป็นคนรุ่นใหม่เสียมากกว่า ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 50 บาท ขึ้นไป และยังมีจำพวก ถังเงิน ถังทอง ถุงเงินถุงทอง นำไปแขวนที่บ้านแล้วเชื่อว่า เงินทองไหลมาเทมา

“เมื่อเทียบกับปีที่แล้วปีนี้ขายไม่ค่อยดีเท่าไร ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเน้นซื้อของที่ราคาไม่สูงนัก” พ่อค้าสินค้ามงคลบอกเล่า

ตรุษจีนปีนี้หลายสำนัก ฟันธง ข้าวของแพงขึ้นปริมาณการจับจ่ายซื้อขายลดลงไปตามกัน แต่สินค้าที่สื่อความหมายให้ชีวิตรุ่งเรืองร่ำรวยยังเป็นสินค้าจำเป็น ด้วยความหวังให้ปีนี้ทั้งปีร่ำรวย ๆ โชคดีตลอดปีตลอดไป.






คำคมดีๆๆ



ผลไม้ไหว้ตรุษจีน

ผลไม้ที่ควรใช้และที่มาแห่งการใช้
ผมได้รับคำถามจากบล็อคเกี่ยวกับเรื่องการไหว้เทพเจ้าในช่วงตรุษจีนทำให้ต้องรีบเขียนให้คุณๆอ่านเป็นการด่วนเนื่องจากบางท่านยังมีข้อเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่บ้างเกี่ยวกับผลไม้ที่เราใช้ในการไหว้เจ้า
1 ส้ม คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนส้มออกเสียงว่า ไต่กิ๊ก แปลได้ความหมายสองอย่าง อย่างที่หนึ่งคือทอง อย่างที่สองแปลว่าสงบ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ส้มไหว้จึงนิยมใส่ผลไม้อย่างอื่นไปด้วยในกรณีไหว้ออฟฟิศเพราะคงไม่มีใครอยากให้ออฟฟิศสงบหรือไม่มีงาน ตามปกติในช่วงหน้าเทศกาลเราไหว้มากกว่าหนึ่งอย่างอยู่แล้วความกังวลนี้จึงตัดไปได้ครับ
2 แอปเปิ้ล ท่านมักจะเห็นเป็นประจำเนื่องจาก ภาษาจีนเขาเรียกว่า เผ่งท้อ คราวนี้มันมีชื่อพ้องกับคำว่าเผ่งอัง แปลว่าปลอดภัยนั่นคือไหว้แล้วปลอดภัยจึงนิยมถูกจัดมาไหว้ในช่วงตรุษจีน
3 องุ่น เลือกที่พวงสวยๆมีก้านครบๆนะครับ ของนำมาไหว้ควรนำของดีๆมาไหว้ครับ องุ่นเรียกว่า ผู่ท้อ แปลว่าได้ความว่าสูงขึ้น ลอย หรือกำไร ดังนั้นท่านจะเห็นถูกนำมาไหว้เป็นประจำ
4 สาลี่ อันนี้ ภาษาจีนเรียก ซัวตังไล้ ที่ผมได้ข้อมูลมาหลากหลานมาแต่สรุปว่าดีๆทั้งนั้นสำหรับชื่อนี้ บางท่านว่าซัวแปลว่าภูเขาจะได้มีความมั่นคง บางท่านว่าซัวก็คือจ่อซัว หรือคนไทยเรียกว่าเจ้าสัว
5 กล้วย อันนี้มีหลายที่มารวมทั้งชื่อไทยก็กล้วยจะได้เจอแต่อะไรกล้วยๆ บางท่านว่าภาษาจีนแปลว่ากำไร ถ้าถามแม่ผมจะบอกว่ากล้วยเหมือนที่โกยเงินโกยทองจึงนิยมใช้หวีใหญ่เป็นกล้วยหอมดิบผิวสวยๆ และวางหงายขึ้นเวลาไหว้เพื่อให้กอบโกยโชคลาภ
6 นอกจากนี้ ผมแนะนำได้ครับสามารถสลับกับห้าอย่างข้างบนได้ครับ อยากจะแนะนำแก้วมังกร เพราะชื่อมันแปลว่ามังกรหมายถึงความยิ่งใหญ่ เชอรี่ก็มีคนนิยมใช้ครับ หรือจะเป็นสัปปะรดบางท่านก็บอกไหว้ได้ บางท่านบอกผิวไม่สวยใช้ไม่ได้แต่ห้าอย่างข้างบนนี่เป็นอันมาตรฐานครับ
ทั้งหมดนี่เป็นความเชื่อครับผมถือว่าทำแล้วก็ควรทำให้ถูกประเพณีจึงนำมาบอกให้คุณๆทราบ แต่ทุกท่านต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าคนจีนในเมืองไทยส่วนใหญ่มาจากซัวเถา ซึ่งก็ยังมีหลายตำบลความเชื่อจึงอาจแตกต่างกันเล็กน้อยขอให้ท่านเลือกผลไม้ที่ท่านชอบและไหว้อย่างมีความสุข

ธรรมเนียมตรุษจีน

โดยธรรมเนียมของคนจีน หลังจากการไหว้เทพเจ้าโชคลาภ ( ไฉ่ซิ้งเอี้ย ) แล้ว ผู้ใหญ่จะให้ลูกหลานใส่เสื้อผ้าใหม่ และไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้อนรับปีใหม่ เช่น ไหว้พระขอพร ไหว้เจ้าที่ โดยที่ของไหว้เจ้าจะมีแค่ส้มเท่านั้น และจะไม่ลาของไหว้จนกว่าจะถึงวันที่เทพเจ้าลงจากสวรรค์ จึงจะลาส้มพร้อมกับจัดของไหว้ใหม่เพื่อรับเจ้าที่มาจากสวรรค์ นอกจากนั้นวันนี้เป็นวันที่ลูกหลานจะพากันมากราบไหว้และเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ และจะมีการให้อั่งเปาลูกหลานเพื่อนำไปใช้จ่ายในวันนั้น หลังจากที่เสร็จพิธีการไหว้แล้ว ครอบครัวชาวจีนจะพากันออกไปเที่ยวพักผ่อน จึงมีคำเรียกวันตรุษจีนอีกอย่างหนึ่งว่า วันเที่ยว นั่นเอง

การไหว้เทพเจ้าโชคลาภตรุษจีนปี 2552 นี้

tag:การไหว้เทพเจ้าโชคลาภ ข้อมูลจากอาจารย์สินธุ์ (ปัญญาสมาธิ)
การไหว้เทพเจ้า ไฉ่ซิงเอียะ(เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) ในเทศกาลตรุษจีน ปีนี้(ปีฉลู) ให้หันหน้าโต๊ะบูชาไปทางทิศตะวันออก ช่วงเวลาที่ดีคือ คืนวันอาทิตย์ที่ 25 ถึง เช้าวันจันทร์ที่ 26 ปีที่ไม่ชง ให้ไหว้ตั้งแต่ 23.30 น. ของคืนวันที่ 25 ปีมะเมีย(ม้า),ีปีเถาะ(กระต่าย),ปีระกา(ไก่) ให้ไหว้หลัง 01.00 น. ของคืนวันที่ 25
-เช้าวันที่ 26 ปีมะแม(แพะ) ให้ไหว้ตอน 24.00 น. ของคืนวันที่ 25 ของไหว้ที่สำคัญ (ปีนี้เลขคู่ดี)
- ขนม 6 ชนิด ทำจากแป้ง หรือธัญพืช และมีลักษณะฟู ๆ เช่น เต้าซ้อ ขนมเปียะ ขนมถ้วยฟู เป็นต้น
หรือประยุกต์เป็นขนมวาฟเฟิล /เค้ก ก็ได้ - น้ำแดง 2 ขวด(หากซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน)
- ดอกไม้สีเหลือง ๆ วางที่จาน ขนมพอเป็นพิธี (เล็กน้อย) - ของไหว้อื่น ๆ (ของแถม)
ให้อธิษฐานขอให้เทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอียะ รับของไหว้ ใน ฮวงจุ้ยยุค 8 ทิศเฉียงจะดี บ้านที่ตั้งเตียจู่เอียะ
ไปทางทิศ เหนือ ตะวันออก ตะวันตา ไม่ควรเปลี่ยนหรือย้ายเด็ดขาด 1 ในปีนี้ ตั้งหันไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะดีมาก แก้เคล็ด เกิดปีแพะ ให้ตั้งม้า หรือแขวนพวงกุญแจม้า หรือจี้รูปม้า ปีอื่น ๆ บริจาคโลงศพ ถวายสังฆทาน เช่าพระ แจกคนอื่น ๆ เป็นต้น
ปล. อาจไหว้ในวันชิวโป่ยด้วย (วันที่ 8ของจีน) จะดีไปอีก 12 ปี (เป็นการเปิดให้มีปัญญา)

การไหว้เทพเจ้าโชคลาภ(ไฉ่เซ้งเอี้ย














1/16/2552

คำอวยพรตรุษจีน

คำอวยพร : ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวกใช้ คำแปล : ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย

คำอวยพร : ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ คำแปล : ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย

คำอวยพร : เจาไฉจิ้นเป้า คำแปล : เงินทองไหลมาเทมา ทรัพย์สมบัติเข้าบ้าน

คำอวยพร : ฟู๋ลู่ซวงฉวน คำแปล : ศิริมงคลเงินทองอำนาจวาสนา

คำอวยพร : จู้หนี่เจี้ยนคัง คำแปล : ขอให้คุณสุขภาพแข็งแรง

คำอวยพร : จู้หนี่ฉางโส่ว คำแปล : ขอให้คุณอายุยืนยาว

คำอวยพร : จู้หนี่ซุ่นลี่ คำแปล : ขอให้คุณประสบความสำเร็จ

คำอวยพร : จู้เห้อซินเหนียน คำแปล : การอวยพรปีใหม่

1/15/2552

ตรุษจีน : มงคลอาหารไหว้




กับข้าวไหว้บรรพบุรุษทำไมมักเหมือนกันทุกครั้ง เช่น ลูกชิ้นปลาผัดต้นกระเทียม เป๊าฮื้อน้ำแดง ขนมกุ๊ยช่าย ฯลฯ เป็นข้อบังคับเหมือน หมู เป็ด ไก่ หรือเปล่า คำตอบคือ เมนูกับข้าวไหว้เจ้า หลายบ้านจะคล้ายๆ กัน เพราะนิยมทำกับข้าวที่มีความหมายมงคล ก็เหมือนที่คนไทยนิยมมีขนมมงคล 9 อย่างในเครื่องขันหมาก มีขนมทองหยิบ ทองหยอด ในงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่
อย่างไรก็ตามแต่ละบ้านอาจไหว้เมนูไม่เหมือนกัน และการแปลความหมายก็อาจต่างกัน การคิดเหมือนคิดต่าง การทำเท่ากันหรือไม่เท่ากันในเรื่องธรรมเนียมของแต่ละบ้านนั้นเป็นเรื่องธรรมดาเพราะคนจีนและคนไทยต่างก็มีพื้นความคิดที่เหมือนกันว่า กับข้าวคาวหวานที่ใช้ไหว้หรือทำบุญ นิยมเลือกที่มีความหมายมงคล ชุดของไหว้ที่เป็นของคาว 5 อย่าง ได้แก่ หมู ไก่ ตับ ปลา และกุ้งมังกร (ต่อมากุ้งมังกรหายาก จึงเปลี่ยนเป็นเป็ดสำหรับคนจีนแต้จิ๋ว และเปลี่ยนเป็นปลาหมึกแห้ง สำหรับคนจีนแคะ)หมู มีความหมายถึงความมั่งคั่ง ด้วยความอ้วนของตัวหมู สะท้อนถึงความกินดีอยู่ดีไก่ มีมงคล 2 อย่างคือ



1. หงอนไก่สื่อถึงหมวกขุนนาง ความหมายมงคลจึงเป็นความก้าวหน้าในงาน



2. ไก่ขันตรงเวลาทุกเช้า สะท้อนถึงการรู้งานตับ คำจีนเรียกว่า กัว พ้องเสียงกับคำว่า กัว ที่แปลว่าขุนนางปลา คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่า ฮื้อ โดยมีวลีมงคล อู่-ฮื้อ-อู่-ชื้ง แปลว่า ให้เหลือกินเหลือใช้ ไหว้ปลาเพื่อให้มีเงินเหลือกินเหลือใช้มาก ๆกุ้งมังกร ไหว้ด้วยรูปลักษณ์ของกุ้งที่หัวใหญ่ มีก้ามให้ความรู้สึกถึงอำนาจวาสนาชุดกับข้าว หลากหลายอย่าง บางบ้านเหมือน บางบ้านต่าง ซึ่งก็ไม่เป็นไร



1. ลูกชิ้นปลา จีนแต่จิ๋วออกเสียงว่า ฮื้อ-อี๊ แปลว่า ลูกปลากลมๆ ฮื้อหรือปลา คือให้เหลือกินเหลือใช้ อี๊ แปลว่ากลมๆ หมายถึงความราบรื่น



2. ผัดต้นกระเทียม เพราะคนจีนแต้จิ๋ว เรียกกระเทียมว่า สึ่ง พ้องเสียงกับสึ่งที่แปลว่านับ ไหว้ต้นกระเทียม เพื่อให้มีเงินมีทองให้ได้นับอยู่เสมอ



3. ผัดตับกับกุยช่าย ตับคือ การเรียกว่า กัว พ้องเสียงกับกัวที่แปลว่า ขุนนาง กุยช่ายเป็นการพ้องเสียงของคำว่ากุ่ย แปลว่า แพง รวย



4. แกงจืด คนจีนเรียกว่า เช็ง-ทึง เช็ง แปลว่า ใส หวาน ซดคล่องคอ การไหว้น้ำแกงก็เพื่อให้ชีวิตลูกหลานหวานราบรื่น



5. เป๊าฮื้อ เป๊า หรือ เปา แปลว่า ห่อ ส่วน ฮื้อ คือเหลือกินเหลือใช้ ไหว้เป๊าฮื้อ เพื่อห่อความมั่งคั่เหลือกินเหลือใช้มาให้ลูกหลาน



6. ผัดถั่วงอก คนจีนแต้จิ๋วเรียกถั่วงอกว่า เต๋าแหง๊ แต่ภาษาวิชาการเรียกว่า เต้าเหมี่ยว เหมี่ยว แปลว่า งอกงาม ไหว้ถั่วงอกเพื่อให้งอกงามรุ่งเรือง



7. เต้าหู้ เป็นคำเรียกแบบชาวบ้านที่อาจเรียกเป็นเต้าฮกก็ได้ ฮก คำนี้เป็นสำเนียงแต้จิ๋ว จีนกลางออกเสียงเต้าหู้ว่า โต ฟู ฟู แปลว่า บุญ ความสุข



8. สาหร่ายทะเล เรียกว่า ฮวกฉ่าย ถ้าออกเสียงเป็นฮวดไช้ ก็แปลว่า โชคดี ร่ำรวยชุดขนมไหว้ ก็ล้วนมีความหมายมงคล เช่นกัน



1. ซาลาเปา เล่นเฉพาะคำว่า เปา แปลว่า ห่อ ไหว้ซาลาเปาเพื่อให้เปาไช้ แปลว่า ห่อโชค ห่อเงินห่อทองมาให้ลูกหลาน



2. ขนมถ้วยฟู คือไหว้เพื่อให้เฟื่องฟู คนจีนแต้จิ๋วเรียกขนมถ้วยฟูว่า ฮวกก้วย ก้วย แปลว่า ขนม ฮวก แปลว่างอกงาม



3. ขนมคัดท้อก้วย คือขนมไส้ต่างๆ เช่น ไส้ผักกะหล่ำ มันแกว ไส้กุยช่าย ทำเป็นรูปลูกท้อสีชมพู ลูกท้อ เป็นผลไม้มงคลมีนัยอวยพรให้อายุยืนยาว



4. ขนมไข่ คนจีนเรียกว่า หนึงก้วย ไข่คือบ่อเกิดแห่งการได้เกิดและเติบโต ไหว้ขนมไข่เพื่อให้ได้มีการเกิดและการเจริญเติบโต



5. ขนมจับกิ้ม หรือ แต้เหลียง ก็เรียกคือ ขนมแห้ง 5 อย่าง จะเรียกว่า โหงวเส็กทึ้ง หรือ ขนม 5 สี ก็ได้ ประกอบด้วย ถั่วตัด งาตัด ถั่วเคลือบ ฟักเชื่อม และข้าวพองฟัก เพื่อฟักเงินฟักทอง ฟักเชื่อม คือการฟักความหวานของชีวิตข้าว ถั่ว งา คือ ธัญพืช ธัญญะ แปลว่า งอกงาม ไหว้เพื่อให้งอกงาม และชีวิตหวานอย่างขนม6. ขนมอี๊ อี๊ หรืออี๋ แปลว่ากลมๆ ขนมอี๊ทำจากแป้งข้าวเหนียว นวดจนได้ที่เจือสีชมพู ปั้นเป็นก้อนกลมๆ ต้มกับน้ตาล เพื่อให้ชีวิตเคี้ยวง่ายราบรื่น เหมือนขนมอี๊ที่เคี้ยวง่ายและหวานใส ซึ่งขนมอี๊นี้อาจใช้เป็นสาคูหรือลูกเดือยก็ได้ คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่าอี๊เหมือนกันชุดผลไม้ที่มีความหมายมงคล เช่น



1. ส้ม คนจีนแต้จิ๋วเรียกแบบชาวบ้านว่า กา แต่ส้มมีอีกคำเรียกว่า ไต้กิก ไต้ แปลว่า ใหญ่ กิก แปลว่า มงคล ไต้กิก จึงแปลว่า มหาสิริมงคล แต่ถ้าแปลง่ายๆ แบบชาวบ้านก็คือโชคดี



2. กล้วย จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า เก็ง-เจีย จะเล่นเสียงว่า เก็ง-เจีย-เก็ง-ไล้ แปลว่า ถึงโชคเข้ามา กับอีกความหมายว่า กล้วย มีผลมากมายแถมเป็นเครือ จึงมีมงคลให้ลูกหลานมากๆ มีวงศ์วานว่านเครือสืบสกุล



3. องุ่น จีนแต้จิ๋วเรียกว่า พู่-ท้อ พู่ ก็คือ งอก หรืองอกงาม ท้อ ก็คือ พ้องเสียงกับลูกท้อที่เป็นผลไม้มงคล อายุยืน



4. สับปะรด คนจีนแต้จิ๋วเรียก อั้งไล้ แปลว่า เรียกสีแดงมา สีแดงเป็นสีของโชค ก็ประมาณว่าเรียกโชคเข้ามา คนจีนทางใต้นิยมไหว้สับปะรดมากช่วงเทศกาลสารทจีน และไหว้สิ้นปีที่มีไหว้ผีไม่มีญาติ จะมีการไหว้กับข้าวที่ทำเป็นปริมาณมากๆ เช่น ผัดหมี่หม้อใหญ่ๆ ข้าวหอมหม้อใหญ่ๆ และเผือกนึ่งหัวใหญ่ ซึ่งความหมายของเผือกมาจากลักษณะนามที่เรียกเผือกว่าหัว ไหว้เผือกจึงไหว้เพื่อให้มีหัวมีหาง แปลว่า เพื่อให้ครบหัวครบหาง ครบสมบูรณ์ดี

"วันตรุษจีน"

"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ" ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย
ความรู้เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
นับเป็นประเพณีนิยม ในวันตรุษจีน ที่เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชนชาติจีนแผ่นดินใหญ่และพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน นั่นแสดงว่าเป็นสัญญาณอันดีที่จะมีงานรื่นเริง การสวมใสเสื้อสีแดงสด อันเป็นสีที่เป็นศิริมงคลของพี่น้องชาวจีน อาจจะบอกดว่าเป็นวันครอบครัว ที่จะได้พบปะสังสรรค์ กินเลี้ยงอย่างมีความสุข ...อันเป็นวันที่เปี่ยมไปด้วยการให้ทาน การทำบุญทำกุศล หรือแม้กระทั่งที่วัดจีนประชาสโมสร ก็มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ทำทานในวันขึ้นปีใหม่ นำมาซึ่งความปิติ-มีความสุขเปี่ยมล้น มีผลทำให้มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต ทำงาน-ค้าขายให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป...


คืนก่อนวันปีใหม่ คือวันสุดท้ายของปีนั่นเองเป็นคืนที่ครึกครื้นที่สุด ใครที่ไปทำงานห่างจากบ้านเกิด ต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกลับมาฉลองวันปีใหม่ที่บ้าน ตอนกินอาหารมื้อค่ำคืนก่อนขึ้นปีใหม่จีน ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งกันพร้อมหน้าล้อมโต๊ะอาหาร ต่างชนแก้วอวยพรปีใหม่กัน ทานมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว บางคนก็ดูทีวี บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็เล่นหยอกล้อกับเด็กๆ บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ พอถึงเที่ยงคืน คนจีนทางเหนือก็จะเริ่มทำเกี๊ยว (เจี้ยวจึ) คนจีนทางใต้ ก็จะปั้นลูกอี๋ทำน้ำเชื่อม ทำไป ชิมไปทานไป ครึกครื้นอย่างยิ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นแต่เช้า ทุกคนจะตื่นแต่เช้า เยี่ยมเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูงอวยพรปีใหม่

ประวัติวันตรุษจีน หรือปีใหม่จีน

ประวัติของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่องใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่ เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมดเพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ นั้นเอง
ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น
วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง
เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า"Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน

อาหารไหว้เจ้า

ในวันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆในปี อาหารชนิดต่างๆที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆมีความหมายที่เป็น มงคลในตัวของมันเม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชายเกาลัด - มีความหมายถึง เงิน สาหร่ายดำ - คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวยเต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุขหน่อไม้ - คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข เต้าหู้ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่งเป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข์ อาหารอื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัว เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว หางและเท้าอยู่ เพื่อ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาวทางตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่ ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน

ความเชื่อโชคลางในวันตรุษจีน


ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความหมายเป็นนัย และคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่
หากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่ คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน
การแต่งกายและความสะอาด ในวันตรุษจีนเราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ สีแดงถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี
วันตรุษจีนกับความเชื่ออื่น ๆ สำหรับคนที่เชื่อโชคลางมากๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อ เป็นความเป็นสิริมงคล
บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี
การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ ถือเป็นโชคร้ายดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก
ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรในวันตรุษเพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคงยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัวและเอกลักษณ์ ของตน

15 วันแห่งการฉลองตรุษจีน

วันแรกของปีใหม่ เป็นการต้อนรับเทวดาแห่งสวรรค์และโลก หลายคนงดทานเนื้อ ในวันนี้ด้วยความเชื่อที่ว่าจะเป็นการต่ออายุและนำมาซึ่งความสุขในชีวิตให้กับตน
วันที่สอง ชาวจีนจะไหว้บรรพชนและเทวดาทั้งหลาย และจะดีเป็นพิเศษกับสุนัข เลี้ยงดูให้ข้าวอาบ น้ำให้แก่มัน ด้วยเชื่อว่า วันที่สองนี้เป็นวันที่สุนัขเกิด
วันที่สามและสี่ เป็นวันของบุตรเขยที่จะต้องทำความเคารพแก่พ่อตาแม่ยายของตน
วันที่ห้า เรียกว่า พูวู ซึ่งวันนี้ทุกคนจะอยู่กับบ้านเพื่อต้อนรับการมาเยือน ของเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ในวันนี้จะไม่มีใครไปเยี่ยมใครเพราะจะถือว่าเป็นการนำโชคร้าย มาแก่ทั้งสองฝ่าย
วันที่หก ถึงสิบชาวจีนจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของ ครอบครัว และไปวัดไปวาสวดมนต์เพื่อความร่ำรวยและความสุข
วันที่เจ็ด ของตุรุษจีนเป็นวันที่ชาวนานำเอาผลผลิตของตนออกมาชาวนาเหล่านี้จะทำน้ำที่ทำมาจากผักเจ็ดชนิดเพื่อฉลองวันนี้ วันที่เจ็ดถือเป็นวันเกิด ของมนุษย์ในวันนี้อาหารจะเป็น หมี่ซั่วกินเพื่อชีวิตที่ยาวนานและปลาดิบเพื่อความสำเร็จ
วันที่แปด ชาวฟูเจียน จะมีการทานอาหารร่วมกันกับครอบครอบอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนจะสวดมนต์ของพรจาก เทียนกง เทพแห่งสวรรค์
วันที่เก้า จะสวดมนต์ไหว้และถวายอาหารแก่ เง็กเซียนฮ่องเต้
วันที่สิบถึงวันที่สิบสอง เป็นวันของเพื่อนและญาติๆ ซึ่งควรเชื้อเชิญมาทานอาหารเย็น และหลังจากที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยความมัน วันที่สิบสามถือเป็นวันที่เราควรทานข้าวธรรมดากับผักดองกิมกิ ถือเป็นการชำระล้างร่างกาย
วันที่สิบสี่ ความเป็นวันที่เตรียมงานฉลองโคมไฟซึ่งจะมีขึ้น ในคืนของวันที่สิบห้าแห่งการฉลองตรุษจีน

วันตรุษจีน คือวันขึ้นปีใหม่ของจีน (วันที่ 1 เดือน 1 ของวันจีน) ถือเป็นเทศกาลใหญ่ ที่ประหนึ่งรวมเทศกาลวันตรุษ และอาจรวมเทศกาลไหว้สิ้นปี เข้ากับเทศกาลวันตรุษ ซึ่งจะต่างกับวันไทย และวันสากล ในขณะที่วันของไทย เป็นวันข้างขึ้น และข้างแรม เดือนหนึ่งมี 30 วัน ของจีนจะเป็นเดือนสั้น และเดือนยาว เดือนสั้นมี 29 วัน เดือนยาวมี 30 วัน วันจีนจะช้ากว่าวันข้างขึ้น ข้างแรม ในปฏิทินอยู่ 2 เดือน ยกตัวอย่าง วันไหว้พระจันทร์ ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 เมื่อดูในปฎิทินจะเป็นขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 หรือสมมติว่าวันที่ 31 ธันวาคม 2535 ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 2 ก็คิดกลับเป็นวันจีนจะเป็นวันที่ 8 เดือน 12 จากนั้นนับต่อจากวันที่ 8 ไปเป็นวันที่ 9 เดือน 12 ของจีน คือ วันที่ 1 มกราคม 2536 นับไปเรื่อยๆ จนครบวันที่ 30 เดือน 12 ของจีน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 22 มกราคม 2536 ของไทย ดังนั้นวันตรุษจีน คือ วันที่ 1 เดือน 1 ของจีน ก็จะตรงกับวันที่ 23 มกราคม 2536
วันตรุษจีน 2544 ตรงกับวันที่ 24 มกราคม 2544
วันตรุษจีน 2545 ตรงกับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2545
วันตรุษจีน 2546 ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546
วันตรุษจีน 2547 ตรงกับวันที่ 22 มกราคม 2547
วันสิ้นปีจะมีการไหว้ หลายอย่าง นิยมเรียกว่า "วันไหว้"
มักเรียกวันก่อนหน้าวันไหว้ว่า "วันจ่าย" เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะจับจ่ายซื้อของไหว้ของใช้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าจะปิดธุรกิจหลายวัน
การไหว้ตรุษจีนจะนิยมเรียกกันว่า "วันชิวอิด" แปลว่า วันที่ 1 มีความน่าสนใจตรงที่ว่า คนจีนจะไหว้ "ไช้ซิ้งเอี๊ย" หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ"ในเวลากลางดึกเมื่อเวลาย่างเข้าวันตรุษหรือวันชิงอิดไช้ แปลว่า โชคซิ้ง และเอี๊ย แปลว่า เจ้านอกจากนี้เวลาไหว้ยังมีฤกษ์ยาม และทิศที่จะตั้งโต๊ะไหว้ ยังเป็นทิศ และเวลาเฉพาะในแต่ละปี เพื่อความเป็นสิริมงคล ของไหว้จะไหว้ง่ายๆ ด้วยส้ม และโหงวเส็กทึ้งกับนำชาส้ม คนจีนเรียกว่า กา หรือ "ไต้กิก" แปลว่า โชคดี เพื่ออวยพรให้ลูกหลานโชคดี และใช้ให้เป็นของขวัญ...นำโชคมามอบให้แก่กันโหงวเส็กทึ้ง แปลว่า ขนม 5 สี ได้แก่ ถั่วตัด งาตัด ข้าวพอง ถั่วเคลือบน้ำตาล และฟักเชื่อม บางทีก็เรียกว่า "ขนมจันอับ" หรือ "แต่เหลียง"บางบ้านมีการไหว้อาหารเจแห้ง ให้แก่บรรพบุรุษด้วยบางบ้านนิยมเปิดไฟไว้ที่ศาลเจ้าที่ "ตี่จู่เอี๊ย" เพื่อรอรับวันที่เจ้าที่จะเสด็จกลับลงมาจากสวรรค์ในวันที่ 4 เดือน 1 ของจีน
ในวันตรุษจีน หรือวันชิวอิด ในหมู่คนจีนจะทราบกันว่า นี่คือ "วันถือ" ถือที่จะทำในสิ่งที่ดี และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่สวยงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดแต่ "หออ่วย" แปลว่า คำดีๆ ไม่อารมณ์เสียหงุดหงิด ไม่ทำงานหนัก เพื่อที่ว่าตลอดปีจะได้ไม่ต้องทำงานหนักนัก ไม่กวาดบ้าน เพราะอาจปัดสิ่งดีๆ มีมงคลออกไป แล้วกวาดความไม่ดีเข้ามา เริ่มต้นเช้าวันตรุษ คนในบ้านก็จะทักทายกันด้วยคำอวยพร "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" หมายถึง เวลาใหม่ให้สมใจ ปีใหม่ให้สมปรารถนา
อั้งเปา" ในวันตรุษจีน มีคำจีนโบราณเรียกว่า "เอี๊ยบซ้วยจี๊" เป็นเงินสิริมงคลที่ผู้ใหญ่ให้แก่ลูกหลาน เพื่ออวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรง และเจริญก้าวหน้า
ธรรมเนียมหนึ่งในวันตรุษจีนคือการไป "ไป๊เจีย" หรือการไปไหว้ขอพร และอวยพรผู้ใหญ่ หรือญาติมิตร โดยส้มสีทอง 4 ผลห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าผู้ชาย ที่นิยมใช้กันแต่ส้มสีทอง ไม่ใช้ส้มเขียว เพราะสีทองเป็นสีมงคล ทองอร่ามเรืองจะอวยพรให้รุ่งเรืองเช่นเดียวกับส้ม ที่คนจีนเรียกว่า ไต้กิก แปลว่า โชคดี ส้มสีทองที่มอบแก่กันคือ นัยอวยพรให้ "นี้นี้ไต้กิก" แปลว่า ทุกๆ ปีให้โชคดีตลอดไปส้มสีทอง 4 ใบ เมื่อเจ้าบ้านรับไป จะเป็นการรับไปเปลี่ยนว่าเปลี่ยนส้ม 2 ใบของแขกกับ 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบคืน ให้แขกนำกลับไป 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบ คืนให้แขกนำกลับไป หมายถึง การที่ต่างฝ่าย ต่างให้โชคดีแก่กัน
การติดฮู้ เป็นธรรมเนียมที่นิยมถือทำในวันตรุษจีน เช่น การติด "ฮู้" หรือยันต์แผ่นใหม่ เพื่อคุ้มครองบ้าน ติด "ตุ้ยเลี้ยง" หรือแผ่นคำอวยพรที่ปากทางเข้าบ้าน

ไหว้เจ้า

การไหว้เจ้าเป็นธรรมเนียมประเพณีที่ลูกหลานจีนปฏิบัติสืบทอดกันมา ตามความเชื่อที่จะต้องไหว้เจ้าที่ และไหว้บรรพบุรุษ เพื่อให้เป็นสิริมงคล และนำมาซึ่งความสุข ความเจริญแก่ครอบครัวในปีหนึ่งมีการไหว้เจ้า 8 ครั้ง เรียกว่า โป๊ยโจ่ย แปลว่า 8 เทศกาล ดังนี้
ไหว้เดือน 1 วันที่ 1 (เป็นการกำหนดวันทางจันทรคติของจีน) คือ ตรุษจีน เรียกว่า ง่วงตั้งโจ่ย
ไหว้เดือน 1 วันที่ 15 เรียกว่า ง่วงเซียวโจ่ย
ไหว้เดือน 3 วันที่ 4 เรียกว่า ไหว้เช็งเม้ง เป็นประเพณีที่ลูกหลานไปไหว้บรรพบุรุษที่ฮวงซุ้ย
ไหว้เดือน 5 วันที่ 5 เรียกว่า โหงวเหว่ยโจ่ย เป็นเทศกาลไหว้ขนมจ้าง
ไหว้เดือน 7 วันที่ 15 คือ ไหว้สารทจีน เรียกว่า ตงง้วงโจ่ย
ไหว้เดือน 8 วันที่ 15 เรียกว่า ตงชิวโจ่ย ที่คนทั่วไปรู้จักกันดีว่า ไหว้พระจันทร์
ไหว้เดือน 11 ไม่กำหนดวันแน่นอน เรียกว่า ไหว้ตังโจ่ย
ไหว้เดือน 12 วันสิ้นปี เรียกว่า ไหว้สิ้นปี หรือ ก๊วยนี้โจ่ย นอกจากนี้บางบ้านยังมีการไหว้พิเศษ คือการไหว้เทพยดาที่ตนเองเคารพนับถือ เช่น
ไหว้เทพยดาฟ้าดิน เช่นการไหว้วันเกิดเทพยดา ฟ้าดิน เรียกว่า ทีกงแซ หรือ ทีตี่แซ ตรงกับวันที่ 9 เดือน 1 ของจีน
ไหว้อาเนี๊ยแซ คือไหว้วันเกิดเจ้าแม่กวนอิม ปีหนึ่งมี 3 ครั้ง คือวันที่ 19 เดือน 2 วันที่ 19 เดือน 6 และวันที่ 19 เดือน 9
ไหว้แป๊ะกงแซ ตรงกับวันที่ 14 เดือน 3
ไหว้เทพยดาผืนดิน คือไหว้โท้วตี่ซิ้ง ตรงกับวันที่ 29 เดือน 3
ไหว้อาพั๊ว คือการไหว้วันเกิดอาพั๊ว หรืออาพั๊วแซ ซึ่งอาพั๊ว หมายถึง พ่อซื้อแม่ซื้อผู้คุ้มครองเด็ก ตรงกับวันที่ 7 เดือน 7 ของทุกปี
ไหว้เจ้าเตา คือไหว้วันที่ 24 เดือน 12 เรียกว่า ไหว้เจ๊าซิ้งขนมไหว้ซาลาเปา (หมี่ก้วย หรือ หมี่เปา)
ไม่มีไส้ เรียกว่า หมั่นโถว มีแบบที่ทำจาหัวมัน เนื้อออกสีเหลือง และแบบไม่ผสมมัน เนื้อออกสีขาว นิยมทำให้แตกเหมือนดอกไม้บาน ถ้าลูกเล็กจะแต้มจุดแดง ลูกใหญ่จะปั๊มตัวหนังสือสีแดง เขียนว่า ฮก แปลว่า โชคดี
มีไส้ นิยมไส้ เต้าซา แป้งไม่ผสมมัน หน้าไม่แตก มีตัวหนังสือปั๊มว่า เฮง แปลว่าโชคดีซิ่วท้อ เป็นซาลาเปาพิเศษ ทำเป็นรูปลูกท้อ ใส้เต้าซา เพราะถือว่าเป็นผลไม้สวรรค์ ใช้ในงานวันเกิด ใครได้กินอายุจะยืนยาวหนึงกอ (ขนมไข่) ใช้ไหว้ได้ทุกอย่างก๊าก้วย (ฮวกก้วย) "ฮวก" แปลว่า งอกงาม / "ก้วย" แปลว่า ขนม ใช้กับงานมงคลเป็นส่วนใหญ่ เช่นงานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ บนหน้าขนมปั๊มตัวหนังสือตรงกลาง "ฮวดไช้" คำที่อยู่รอบนอก คือ "เฮง" แปลว่า โชคดีคักท้อก้วย มีไส้ข้าว ไส้กุยช่าย ไส้ผัดผักกะหล่ำ ไส้ถั่ว นวดกับแป้งผสมสีแดง เป็นสีนำโชค ใช้ไหว้เจ้าที่ หรือไหว้บรรพบุรุษจับกิ้ม (แต่เหลียง) หรือที่คนไทย เรียกว่า "ขนมจันอับ" ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกประเภท ประกอบด้วยขนม 5 อย่าง คือ
เต้ายิ้งปัง คือ ขนมถั่วตัด
มั่วปัง คือ ขนมงาตัด
ซกซา คือ ถั่วเคลือบน้ำตาล
กวยแฉะ คือ ฟักเชื่อม
โหงวจ๊งปัง คือ ขนมข้าวพองตั่วเปี้ย คนไทยเรีกว่า "ขนมเปี๊ย"
แบบเจ เรียกว่า "เจเปี้ย" มีไส้มังสวิรัติ เช่น ไส้เต้าซา
แบบชอ เรียกว่า "ชอเปี้ย" ใส่มันหมู ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกอย่างทึ้งถะ คือ เจดีย์น้ำตาล ซึ่งต้องมีทึ้งไซ หรือสิงห์น้ำตาล มีไว้เพื่ออารักขาเจดีย์ ใช้ไหว้เทพยดาฟ้าดิน ในวันที่ 9 เดือน 1 ของทุกปีและสามรถใช้ไหว้เจ้าแม่กวนอิมในวันไหว้พระจันทร์ได้โหงวก้วย-โหงวอั้ง หรือขนมลูกหลาน ใช้ไหว้คนตายในงานศพเท่านั้น ทำจากแป้งข้าวเจ้า ทั้งแบบเกลี้ยง และแบบแต่งถั่วดำ กินไม่อร่อย แต่ใช้ในการทำพิธีน้ำตาล นำน้ำตาลมาใส่ถุง ติดกระดาษแดง สามารถใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง กระดาษเงินกระดาษทองคนจีนเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะไปยังอีกภพโลกหนึ่ง เรียกว่า "อิมกัง" ดังนั้นลูกหลานจึงต้องส่งเงินทองไปให้ เพื่อแสดงความกตัญญู ด้วยการไหว้เจ้า แล้วเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ และการไหว้เจ้ายังเป็นสิริมงคลแก่ลูกหลาน ให้มีความสุขความเจริญ ซึ่งกระดาษเงินกระดาษทองบางแบบใช้ไหว้เจ้า บางแบบใช้ไหว้บรรพบุรุษกอจี๊ หรือ จี๊จุ้ย เป็นกระดาษเงินกระดาษทองชิ้นใหญ่ มีกระดาษแดงตัดเป็นลายตัวหนังสือว่า "เผ่งอัน" เป็นคำอวยพร แปลว่า โชคดดีใช้สำหรับไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน กิมจั้ว หรือ งึ้งจั๊ว หมายถึงกระดาษเงินกระดาษทอง เวลาจะไหว้จะทำเป็นชุด ก่อนไหว้ลูกหลานจ้องนำมาพับเป็นรูปดอกไม้ ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง กิมเต้า หรือ งึ้งเต้า หรือถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน กิมเตี๊ยว คือ แท่งทอง ใช้ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้คนตายค้อซี คือ กระดาษทอง ก่อนใช้ให้พับเป็นรูปร่างก่อน เช่น พับเป็นเรือ เรียกว่า "เคี้ยวเท่าซี" เชื่อกันว่าการพับเรือ จะไก้มูลค่าสูงกว่าการพับอย่างอื่นใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง รวมทั้งไหว้คนตาย โดยเฉพาะพิธีทำกงเต๊ก ลูกหลานต้องพับค้อซี ให้มากที่สุด อิมกังจัวยี่ คือแบงก์กงเต็กนั่นเอง อ่วงแซจิ่ว ใช้เผาเป็นใบเบิกทาง ไปสวรรค์สำหรับผู้ตาย เพ้า คือ ชุดของเทพเจ้า คล้ายกับที่คนไทยถวายผ้าห่มพระพุทธรูป มีการทำของเจ้าหลายองค์ เช่น ชุดของเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม พระพุทธ ตั้วกิม เป็นกระดาษเงินกระดาษทองที่ญาติสนิทนำไปไหว้ผู้ตายการเผากระดาษเงินกระดาษทองจะต้องทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้ทุกคนได้เส้นไหว้เสร็จ ก็จะทำการ "เหี่ยม" หรือจบเหนือศีรษะ ระหว่างนี้ให้ทำการอธิฐานขอพรไปด้วย แล้วจึงนำไปเผา เมื่อไฟมอดแล้วจึงไหว้ลา เป็นการเสร็จพิธี ผลไม้ไหว้เจ้าส้ม คำจีนเรียกว่า "ไต้กิก" แปลว่า โชคดี -------------------------------------------------------------------------องุ่น คำจีนเรียกว่า "พู่ท้อ" หมายถึง งอกงาม -------------------------------------------------------------------------สับประรด คำจีนเรียกว่า "อั้งไล้" แปลว่า มีโชคมาหา -------------------------------------------------------------------------กล้วย คำจีนเรียกว่า "เกงเจีย" มีความหมายถึงการมีลูกหลานสืบสกุล --------------------------------------------------------------------------------

เคล็ดลับการเขียนลายเซ็น


เรื่องการเปลี่ยนลายเซ็นนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล บางคนก็ว่า ตัวองเซ็นดีแล้ว แต่บางคนคิดอยากจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ถ้าหากการเปลี่ยนลายเซ็นทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงและดีขึ้นภายในสามเดือนโดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและไม่ต้องเสียงินเสียทอง คุณจะไม่สนใจบ้างหรือครับ
ความสำคัญของลายเซ็น

ลายเซ็นมีความสำคัญ บางคนมาทำงานตอนเช้า เซ็นลายเซ็นแต่ไม่รู้ว่ามันบอกอะไรได้บ้าง ลายเซ็นของคุณเป็นสัญลักษณ์และเครื่องหมายบ่งบอกว่าคุณเป็นคนอย่างไร เป็นตัวแทนของคุณดังนี้
ลายเซ็นสามารถบอกได้ถึง
1.ชีวิตของผู้เซ็น
2.สุขภาพ
3.บุคลิกภาพ
4.บริวาร
5.ฐานะทางการเงิน (ฐานะ ความมันคง การดำเนินชีวิต)
โครงสร้างของลายเซ็น
1.ประธาน
2.บริวาร
3.ช่องไฟ
4.สกุล
5.เครือญาติ
ตำแหน่งประธาน หมายถึง พยัญชนะตัวแรกของเราถือว่าเป็นตำแหน่งของเรา ตำแหน่งที่สองคือบริวาร หมายถึงญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงบริวารต่าง ๆ ต่อไป คือช่องไฟ และตามด้วยนามสกุล นามสกุลเป็นพยัญชนะตัวแรกของเรา แล้วก็ตามด้วยเครือญาติ
ลายเซ็นของเรามีหลายตำแหน่ง แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือประธาน ประธานคือตำแหน่ง 1 เราต้องเขียนตัวประธานให้ใหญ่ เช่น ผมชื่อชาญณรงค์ ผมต้องเขียนพยัญชนะ ช. ให้อยู่ในกรอบของหมายเลข 1 และตามด้วยบริวาร หมายเลข 2 จำเป็นที่จะต้องเขียนเว้น อย่าเชื่อมติดกับประธาน เพราะอะไร ปกติหลายคนเขียนชื่อและก็บริวารติดกัน ความหมายก็คือบ่งบอกถึงเรื่องความผูกพันกับบริวารเดี่ยวเราจะกล่าวถึงช่วงต่อไป
ตำแหน่งต่อไปคือตำแหน่งที่ 3 ช่องไฟ ง่าย ๆ คุณเพียงแค่เอาปากกาของคุณวางทาบ เว้นช่องไฟให้เท่ากับหนึ่งช่องปากกา และตัวต่อไปคือสกุล หมายเลข 4 พยัญชนะ พยัญชนะตัวแรกของคุณเป็นอะไร เช่น ผมนามสกุลขันทีท้าว ผมจะเขียน ข.จะอยู่ตำแหน่งเดียวกับประธาน แต่ว่าขนาดจะไม่เท่ากับประธานจะอยู่ประมาณ 3 ใน 4 และตัวต่อไปก็เป็นเครือญาติ คือบริวารในครอบครัว
คุณเขียนนามสกุลยาวบ่งบอกถึงเรื่องบางอย่างในเครือญาติ เงินทอง ชื่อ เสียง เกียรติยศ ของคุณ
โครงสร้างของลายเซ็นตามช่วงอายุ
เราพูดถึงโครงสร้างลายเซ็นไปแล้วนะครับ ต่อไปเราจะเขียนลายเซ็นยังไงตามกฎเกณฑ์อายุ ผมตั้งไว้อย่างงี้ครับ เรามักเริ่มเขียนลายเซ็นตั้งแต่อายุ 15 จนถึงอายุ 35 ปี ผมถือว่าช่วงชีวิตของคนเราอยู่ในเกณฑ์ 70 ปี 35 ปี คือครึ่งของชีวิต เพราะฉะนั้น ช่วงต้นของชีวิตเราจะต้องเขียนพยัญชนะชื่อเราให้ยาวกว่า นามสกุล อย่างงี้ครับ
กฎเกณฑ์ของลายเซ็นอายุต่ำกว่า 35 ปี ควรเซ็นชื่อให้ยาวกว่านามสกุล สามารถเซ็นได้ 2 วิธี
1.เซ็นเฉพาะชื่ออย่างเดียว
2.เซ็นชื่อและนามสกุลย่อ
พอเมื่ออายุเลย 35 ปีไปแล้ว คนจีนบอกว่าตกที่ตา หมายถึงว่าการเจริญเติบโตก้าวหน้า เราจะเขียนพยัญชนะชื่อเราสั้นกว่านามสกุล
กฎเกณฑ์ลายเซ็นอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้เซ็นนามสกุลยาวกว่าชื่อ และในกรณีที่ชื่อยาวกว่านามสกุล ให้เซ็นชื่อแบบย่อ และนามสกุลเต็ม
โซนของลายเซ็น
พูดถึงโซนของลายเซ็นมีความสำคัญยังไง หลายคนอาจจะไม่รูว่า ผมเขียนตรงนี้มันคืออะไร เป็นยังไง ตรงนี้ลากยาวลงมาคืออะไร
ความหมายของโซนในลายเซ็นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน
สูง จะเกี่ยวกับเรื่องอนาคต จินตนาการ
กลาง หมายถึงปัจจุบัน
ต่ำ หมายถึงอดีต กรรม ภาระ เรื่องเก่า ๆ
โซนกลางจะเป็นโซนที่เรียกว่า เป็นอักษรที่ใช้มากที่สุด เป็นพยัญชนะที่ใช้เป็นปกติ
ส่วนโซนต่ำจะเป็นเรื่องของสาระ เป็นเรื่องของอดีตชาติ ความหลัง กรรม ภาระ จิตใต้สำนึก และกามารมย์ หรือวัตถุนิยม รวมกันอยู่ในตำแหน่งของโซนต่ำ
ส่วนโซนสูง บ่งบอกในเรื่องของจินตนาการ ความฝัน อนาคต วิสัยทัศน์ อุดมคติ คุณธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเพ้อฝัน อิมเมจิ้นทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น
ลายเซ็นอย่างนี้ ตรงกลางนี้คือโซนกลางหมดเลย ข้างล่างนี้คืออดีต ข้างตนนี้คืออนาคต
บางคนอย่างชื่อ อมร ไม่มีสระเลย เวลาเขียนเขียนลาก ซึ่งจริง ๆ แล้วอมรมีแค่พยัญชนะ แต่ขาลากตำแหน่งบริวารลงมา แสดงว่าคนนี้เป็นคนค่อนข้างคิดถึงเรื่องบริวารเก่า ๆ ที่มีปัญหากับเก่า เพราะตำแหน่งบริวารเข้ามาติดอยู่ด้านหลังของพยัญชนะเรา อันนี้บอกสัญลักษณ์ได้เลยว่า มีปัญหากับบริวารและจะทำให้คุณไม่สบาย ปวดหลัง ตำแหน่งนี้เสีย
เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะดูโซนของการเขียนลายเซ็น พยัญชนะอยู่ตัวกลางลากลงมาตำแหน่งข้างล่างเนี่ยเป็นเรื่องอดีตเก่า ๆ

ความลาดเอียงของลายเซ็น
ความลาดเอียงของลายเซ็นแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน
1.ลายเซ็นเอียงขึ้น
2.ลายเซ็นแนวระนาบ
3.ลายเซ็นเอียงลง
ลายเซ็นเอียงขึ้น ลายเซ็นแบบนี้บ่งบอกถึงความทะเยอทะยาน มุ่งไปสู่อนาคต กล้าได้กล้าเสีย มีความมั่นใจสูง ลายเซ็นแนวระนาบ แสดงถึงความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ หนักแน่น มีวินัย มีการควบคุมตัวเองได้อย่างดี เป็นลายเซ็นที่ดี ละเอียด ประณีต รอบคอบ ลึกซึ้ง
ลายเซ็นอียงลง น้อยคนที่จะเขียน บ่งบอกถึงจิตใจต่ำ หดหู่ มองโลกในแง่ร้าย ขาดเพื่อน ขาดสังคม คนที่เซ็นลายเซ็นอย่างนี้จะค่อนข้างไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน
ขนาดของลายเซ็น ขนาดของลายเซ็นมีความสำคัญครับ ถ้าเขียนลายเซ็นใหญ่ (ตามตัวอย่างลายเซ็นแรก) จะบ่งบอกว่าเป็นคนที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่
แต่ถ้าเขียนลายเซ็นผอมและสูง (ตามตัวอย่างลายเซ็นที่สอง) บ่งบอกว่าเป็นคนใจแคบ เป็นคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย
ยิ่งเขียนตัวเล็ก (ตามตัวอย่างลายเซ็นที่สาม) บ่งบอกถึงศักยภาพของตัวเองว่า ทำงานใหญ่ไม่ได้ พยายามจะปิดบังพยามยามจะไม่อยากให้ใครรู้เรื่องราวบางสิ่งบางอย่าง ไม่มีสิทธิ์ใหญ่
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพยัญชนะต้องเขียนใหญ่
การแก้ไขอักษร ส ศ
แก้อักษร ส. เพื่อเปลี่ยนปัญหาปวดศรีษะเป็นเจ็บคอแทน
แก้อักษร ศ.เพื่อเปลี่ยนอาการปวดศรีษะเป็นเจ็บข้อเท้าแทน
ศ.ส. เป็นอักษรที่มีเส้นแทงโดยธรรมชาติข้างบน ตำแหน่งนี้จะบอกถึงความรุนแรงของเรื่องระบบความคิดจะมีการปวดหัว วิธีการแก้ปัญหาคือ ลากเส้น ส. ให้สะบัดคล้องเพื่อตวัดขึ้นเป็นหัว จะลดอาการปวดหัวมาเป็นเจ็บคอแทน
ส่วน ศ. ถ้าสมมุติลากจาก ค. แล้วมีอักษรแทงที่หัว จะมีอาการปวดหัว มีปัญหาเรื่องระบบความคิด วิธีการแก้คือลากเป็น ค. ไปแล้วมีเส้นแยงขึ้นไป มันจะลดความรุนแรงของการปวดหัวลงให้เหลือเป็นเจ็บขา
หลักการเขียนลายเซ็นแบบง่าย ๆ
ถูกต้องตามลักษณะและเป็นลายเซ็นที่ดีควรจะทำอย่างไรบ้าง
1.ต้องใช้สติในการเขียน ให้เขียนลายเซ็นด้วยสติ อย่าใช้อารมณ์เขียนเขียนจรดปากกาอย่างมีสติ ควบคุมเส้นให้มั่นคงและเขียนตามโครงสร้างของลายเซ็น การเขียนแบบหวัดมากมันจะมีผลต่อการเขียนลายเซ็น เพราะว่าอารมณ์เราคอนโทรลต้องใช้สติคอนโทรล มันถึงจะทำให้คุณมีพลังในการเขียน
2.เริ่มเขียนจากพยัญชนะนำตำแหน่งที่ 1 เขียนให้ใหญ่ เต็มตัวแบบสมบูรณ์ และหัวในพยัญชนะหรือสระที่มีหัว คือเรื่องของความคิดในเชิงสร้างสรรค์
ถ้ามีหัวควรจะเซ็นให้มีหัว ถ้าไม่มีหัวอย่าเติม ไม่เซ็นให้ขาหรือเกิน เช่น ส. ต้องเป็น ส.ที่มีหาง ไม่ใช่ ล.ลิง หรือการเซ็น ค. เซ็นเป็น ศ.ศาลาเป็นต้น
และที่สำคัญคืออย่าเขียนย้อนกลับมา เพราะจะหมายถึงความคิดแปรปรวน
3.ตำแหน่งบริวารเว้นวรรคกับตำแหน่งประธาน (ตำแหน่ง 1 กับ 2) เว้นช่องไฟขนาดเศษหนึ่งส่วนสองของตัวอักษร อย่าเซ็นให้ติดกัน
ลายเซ็นให้มีขนาดเล็กกว่าตำแหน่งที่ 1 ให้อยู่ในตำแหน่งที่ 2.1
ถ้าอยู่ในตำแหน่ง 2.2 ก็จะทำให้ตำแหน่งของพยัญชนะนำหรือประธานล้ำมาอยู่ในโซนต่ำ แสดงว่าบริวารจะมีอิทธิพลเหนือกว่าตัวเรา
หรือถ้าตำแหน่งที่ 2 ไม่มีช่องไฟกับตำแหน่งที่ 1 ก็จะแสดงว่าบริวารและตัวเราเข้ามาพัวพันหรือเข้ามามีอิทธิพลต่อเรา ซึ่งอาจจะเป็นทางร้ายก็ได้
4.เว้นช่องไฟให้ถูกต้อง ขนาดของตำแหน่งช่องไฟระหว่าง 1 กับ 2 และ 4 กับ 5 ควรมีขนาดเศษหนึ่งส่วนสองของตัวอักษร
ส่วนช่องไฟระหว่าง 2 กับ 4 ควรมีขนาดเท่ากับหนึ่งตัวอักษร เทียบจากขนาดตัวอักษรในการเซ็นของคุณ
การเว้นระยะที่เหมาะสมของช่องไฟในแต่ละชุดจะทำให้ชีวิตคุณดำเนินได้อย่างไม่สมดุล ไม่วุ่นวาย
5.ตำแหน่งพยัญชนะนำของนามสกุลต้องมีขนาดเท่ากับ 1 หรือไม่น้อยกว่าเศษสามส่วนสี่ของตำแหน่งที่ 1 และควรเขียนให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน
ในอีกความหมายหนึ่งของตำแหน่งที่ 1 และ 4 ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ ตำแหน่งที่ 1 คือหมายถึงหาทรัพย์เข้ามา และตำแหน่งที่ 4 หมายถึง การจ่ายออก
ถ้า 1 เล็กกว่า 4 ก็แปลว่าหาได้น้อยกว่าจ่าย ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สมดุลทางด้านการเงิน
6.เว้นวรรคตำแหน่ง 4 กับ 5 ตำแหน่งพยัญชนะนำต้องเว้นช่องไฟให้กับบริวาร ตำแหน่งญาติพี่น้อง ลูกหลานก็มีหลักการเดียวกัน
เว้นระยะช่องไฟระหว่าง 4 กับ 5 ขนาดเศษหนึ่งส่วนสองตัวอักษร เซ็นให้ตัวเล็กกว่า 4 และอยู่ในตำแหน่งที่ 5.1 อย่าเซ็นให้ติดกัน
7.การเซ็นสระและวรรณยุกต์ต้องเซ็นที่หลัง สระที่อยู่ในชื่อมักจะทำให้รูปแบบของลายเซ็นเสียหาย และเป็นเรื่องที่ควบคุมยาก สระเอกับสระแอที่นำหน้าส่วนใหญ่มักจะลากเป็นกำแพง ดังนี้
หลักในการเขียนสระและวรรณยุกต์คือ ให้เซ็นหลังสุดหลังจากที่เขียนชื่อแล้วและเขียนนามสกุลแล้ว ไม่ให้สระเออยู่สูงกว่าพยัญชนะนำ ยกเว้นสระ โ ไ ใ ซึ่งอยู่สูงกว่าธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการเขียนสระทีหลังเพื่อให้เรามีสติควบคุมเส้นไม่ให้เกินตำแหน่งที่กำหนดไว้
และนี่คือเป็นหลักการของการเขี่ยนลายเซ็น ถ้าคุณเลือกเซ็นลายเซ็นอย่างนี้ละก็ รับรองว่าลายเซ็นคุณสมบูรณ์แน่นอน
ลักษณะต้องห้ามในลายเซ็น
1.เซ็นตัดตัวเอง ห้ามเซ็นตัดตัวเองในตำแหน่งที่ 1 จะมีความหมายไม่ดีต่อสุขภาพ ร่างกาย เป็นการตัดหือทิ่มแทงตัวเอง
หรือเซ็นตัดทุกตำแหน่ง ต้องแก้ไขนะ เป็นเรื่องที่ซีเรียสมากสำหรับลายเซ็น เดี่ยวจะขยายความเรื่องลายเซ็นกับสุขภาพ

2.เซ็นเป็นเส้นแทง เส้นแทงมีความหมายถึงการทำร้ายตำแหน่งของตัวเอง ตัวอย่างเส้นแทงที่พบบ่อยคือ เกิดจากรูปแบบตัวอักษร ส. ศ.
เกิดจากวิธีการเขียน ธ. ร.
เส้นที่เกิดจากการลากตวัดมือ
3.เซ็นพยัญชนะเกินกรอบ ไม่มีอักษรส่วนเกินอกนอกเส้นกรอบ เดี๋ยวจะอธิบายเรื่องกรอบของพยัญชนะ แต่หลักการคืออย่าเขียนออกนอกกรอบและเขียนเกินตัวอักษร
4.เซ็นพันกัน อย่าเซ็นพันกัน ลายเซ็นที่มีลักษณะที่พันกันยุ่งเหยิงเหมือนเส้นด้าย เปรียบเสมือนชีวิตที่พบกับความยุ่งยาก ไม่สามารถสะสางปัญหาได้ และจะมีอุปสรรคในชีวิต ขาดระบบระเบียบ ขาดการจัดการ ระบบความคิดไม่ดี ส่วนมากลายเซ็นแบบนี้จะเป็นโรคประสาท
5.เซ็นสระยาวเกินไป อย่าลากสระยาวเกินความจำเป็น การลากสระอุ สระอู ยาวเกินไปจะบ่งบอกถึงว่า ลายเซ็นส่วนใหญ่อยู่ในโซนต่ำ สิ่งเหล่านี้จะบอกถึงเรื่องอดีตเก่า ๆ ที่ผ่านมา
6.เซ็นตัวอักษรขาด อย่าลากตัวอักษรขาด หมายความว่า เซ็นพยัญชนะเดียวแต่ยกปากกาขึ้น ทำให้ตัวพยัญชนะขาดออกจากกัน เช่น คำว่า “ปกรณ์” แบบนี้ จะทำให้พยัญชนะนำของตัวอักษรสำคัญขาด อันนี้เสียหายมาก เป็นอันตรายทีเดียว
หรือย่างเช่น ทศธรรม ถ้าเขียนอย่างนี้ ความไม่สมบูรณืของตัวอักษรตัวพยัญชนะประธานก็คือความไม่สมบูรณ์ของตัวคุณเอง
7.เซ็นสระที่อยู่หน้าเป็นกำแพง อย่าเซ็นสระเป็นกำแพงกั้นตัวเอง อย่างที่อธิบายไปแล้วในวิธีการเซ็นสระ ซึ่งบางคนอาจจะเห็นว่ายุ่งยากก็สามารถตัดออกจากลายเซ็นได้นะครับ โดยไม่เสียหายสามารถ็สามารถอะไร
8.เซ็นกลับหลัง อย่าเซ็นกลับหลัง เช่น เซ็น ส. แทนที่จะเป็น ส. ก็เซ็นเป็น s การทำแบบนี้ทำให้ระบบต่าง ๆ ในความคิดผิดปกติ พยัญชนะขาดพลังและขาดทิศทางที่ถูกต้อง

1/13/2552