9/26/2553

จักรพรรดิองค์สุดท้าย

ชีวประวัติของ ปูยี หรือ ฟู่อี้ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายเรื่องด้วยกันและที่ดังที่สุดคงเป็นเวอร์ชั่นฝรั่งสร้าง The Last Emperor กำกับโดย Bernardo Bertolucci ผู้รับบทเป็นอ้ายซินเจียหลอปูยี คือ จอห์น โลน ซึ่งเรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ ถึง 9 รางวัลด้วยกัน
หนังเริ่มต้นที่ ปูยี ถูกส่งตัวจากรัสเซียมายังจีน และถูกสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ หนังจะเล่าสลับฉากถึงอดีตของปูยี ด้วยฉากอลังการของวังต้องห้าม เด็กน้อยปูยีก็พบกับซูสีไทเฮา ซึ่งเป็นผู้เรียกตัวเขาเข้าวัง หลังจากนั้นชีวิตของเด็กน้อยก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเด็กน้อยได้กลายเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดของจีน
การเป็นจักรพรรดินั้นเหมือนถูกจองจำไม่มีผิด "จักรพรรดิเป็นชาวจีนเพียงคนเดียวที่ออกจากบ้านตัวเองไม่ได้" นี่คือคำกล่าวของ เรจินัลด์ จอห์นสตัน พระอาจารย์ชาวสก็อตแลนด์ ที่กล่าวไว้ในภาพยนตร์ มารดาของปูยีเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึง คำกล่าวนี้ได้ดีที่สุด ฉากที่สะเทือนใจผู้ชม 2 ฉาก คงไม่พ้น ฉากที่ปูยีน้อย ร้องหามารดาหลังจากเข้าวังต้องห้ามได้ไม่นานส่วนอีกฉากที่สำคัญคือ ฉากที่ปูยี รู้ข่าวว่ามารดาตนเสียชีวิต แต่ไม่สามารถออกจากวังไปเคารพศพได้
ชีวิตของปูยีเริ่มได้รับอิสรภาพ เมื่อออกมาจากวังต้องห้าม ฉากที่เขานั่งรถออกจากวังนั้นไม่ผิดกับนกที่ถูกปล่อยออกจากกรง เขาพาตัวเองและครอบครัวไปขอความช่วยเหลือจากสถานทูตญี่ปุ่นและย้ายไปที่ เทียนสิน ที่นั่นเขาได้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น เฮนรี่ ปูยี
ต่อมาปูยีได้ตอบรับคำเชิญจากญี่ปุ่นให้ไปเป็นจักรพรรดิที่แมนจูกัว ซึ่งเป็นจักรพรรดิภายใต้การควบคุมของรัฐบาลญี่ปุ่นและถูกรัสเซียจับกุมในเวลาต่อมา
ด้านชีวิตสมรสของปูยีนั้นไม่ประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน เมื่อภรรยาคนที่สอง จากไปเมื่อครั้งเขาย้ายไปอยู่เทียนสิน ภรรยาคนแรกก็มีความขัดแย้งกัน และเธอตั้งครรภ์กับคนอื่น เมื่อตอนที่เขาดำรงตำแหน่งจักรพรรดิหุ่นเชิดของแมนจูกัว

อ้ายซินเจียหลอ ปูยี เกิดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1906 เป็นลูกขององค์ชายชุน ในปี 1908 ปูยี ถูกเรียกตัวเข้าวังต้องห้าม ซูสีไทเฮาตั้งให้เขาเป็นจักรพรรดิ และใช้ชื่อรัชสมัยว่า ซวนถง ในตอนนั้นปูยี มีอายุได้เพียง 2 ปี
ในปี 1912 การปฏิวัติซินไฮ่สำเร็จ ปูยี สละราชบังลังก์ แต่ยังอยู่ในวังต้องห้ามปูยีได้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษกับ เรจินัลด์ จอห์นสตัน ในปี 1919 โดยเดิม จอห์นสตัน ไม่ได้เป็นครู แต่เป็นบุคคลที่ทางอังกฤษส่งมาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับปูยี จอห์นสตัน มีอิทธิพลต่อความคิดหลายๆ อย่างของปูยี นอกจากนั้นเขายังเป็นคนให้ชื่อภาษาอังกฤษ และยังเสนอว่า ปูยี จำเป็นต้องสวมแว่น
ปูยี ได้ขอให้ จอห์นสตัน ช่วยตั้งชื่อเขาเป็นภาษาอังกฤษ จอห์นสตันได้ให้รายชื่อของกษัตริย์อังกฤษแก่เขา ปูยีเลือกชื่อ เฮนรี่ มาเป็นชื่อของตน และเขาได้ใช้ชื่อนี้ครั้งแรกเมื่อย้ายไปอยู่ที่เทียนสิน
เมื่ออายุ 16 ปี ปูยีได้แต่งงานกับ วานจง และ เหวินซิ่ว โดย วานจง ได้เป็น ฮองเฮา และ เหวินซิ่ว ได้เป็นสนมเอก เล่ากันว่าในครั้งแรกปูยีได้เลือก เหวินซิ่ว เป็นฮองเฮา แต่ที่ปรึกษาของปูยี เห็นว่า เหวินซิ่ว อายุเพียง 13 ปียังเด็กเกินไปจึงบังคับให้เลือก วานจง อายุ 17 ปี เป็นฮองเฮา แล้วให้เหวินซิ่วเป็นสนมเอก (บางข้อมูลว่า เป็นเพราะ ฮองเฮาวานจง เป็นเด็กของอดีตสนมของจักรพรรดิองค์ก่อนที่มีอิทธิพลต่อราชสำนัก จึงจำเป็นต้องเลือก)
ในปี 1924 เฟิงยู่เสียง ขับราชสำนักแมนจูออกจากวังต้องห้าม ปูยีได้นั่งลีมูซีนไปที่บ้านองค์ชายชุน ผู้เป็นบิดา ในครั้งนั้นคนของ เฟิงยู่เสียน มาเชคแฮนด์กับปูยี และเรียกเขาว่า นายปูยี ซึ่งนั้นเป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกเขาเช่นนี้ ปูยี ได้กล่าวถึงความรู้สึกในครั้งนั้นว่าช่วงที่เป็นจักรพรรดิเขาไม่มีอิสรภาพเลย แต่ตอนนี้เขาพบกับอิสรภาพของเขาแล้ว
จากนั้นปูยีก็พาครอบครัวไปขอความช่วยเหลือที่สถานทูตญี่ปุ่นในกรุงปักกิ่งและเขาได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่เทียนสิน ในช่วงนั้นเองเขากลายเป็นหนุ่มสังคมจัด ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวานจง หรือ อลิซาเบท เริ่มเย็นชาต่อกัน ส่วนความสัมพันธ์กับเหวินซิ่วนั้น ทั้งคู่หย่าขาดจากกันในปี 1927 โดยเหวินซิ่ว กลับไปอยู่ที่ปักกิ่งตลอดชีวิต และเธอไม่ได้แต่งงานใหม่เลย
ปี 1928 เจียงไคเช็ค ขุดสุสานของซูสีไทเฮาทำลายพระศพของพระนาง และขนสมบัติล้ำค่าไปจนเกลี้ยง ซ้ำยังเอาไข่มุกของพระนางไปประดับรองเท้าให้กับ ซ่งเหม่ยหลิง ภรรยาใหม่ เรื่องนี้ทำให้ปูยีโกรธมาก เพราะไม่เพียงแต่ลบหลู่บรรพชน ซ้ำยังเป็นการทำลายฮวงจุ้ย ตามความเชื่อของชาวแมนจูอีกด้วย ปูยีจึงตัดสินใจเข้าร่วมกับญี่ปุ่น
ปี 1931 ญี่ปุ่นได้ยึดแมนจูเรียและสถาปนาประเทศแมนจูกัวขึ้น ปี 1934 ปูยีได้เป็นจักรพรรดิแห่งแมนจูกัว เปลี่ยนชื่อเป็น คังเต๋อ ซึ่งก็เป็นเพียงจักรพรรดิหุ่นเชิดของญี่ปุ่น ในระหว่างนั้น วานจง ก็เริ่มมีสัมพันธ์กับองครักษ์ และติดฝิ่น
ในปี 1939 ปูยี ก็พบรักกับนักเรียนสาวชาวญี่ปุ่นวัย 17 ปี ปูยีตั้งชื่อจีนให้เธอว่า ถังอี้หลิง และได้แต่งงานกัน บางข้อมูลว่าเธอผู้นี้เป็นคนที่ญี่ปุ่นส่งมา แต่ต่อมาไม่นานอี้หลิงก็เสียชีวิตด้วยโรครากสาดน้อย มีแหล่งข้อมูลบางแห่งระบุสาเหตุการเสียชีวิตของเธอว่าเป็นเพราะถูกทางญี่ปุ่นวางยาพิษ
ต่อมาทางญี่ปุ่นก็เสนอผู้หญิงคนใหม่ให้เป็นสนมอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งปูยีก็สุ่มเลือกขึ้นมา 1คน นั่นก็คือ อี้จิน เด็กสาววัย 14 ปี ซึ่ง อี้จิน ก็แต่งงานเป็นภรรยาคนที่ 4 ของปูยี
ปี 1945 รัสเซียบุกแมนจูเรีย ปูยี พา น้องชาย หลาน 3 คน น้องเขย 2 คน หมอ 1 คน และคนใช้ 1 คน เตรียมบินไปที่ญี่ปุ่น แต่ถูกรัสเซียจับกุมได้เสียก่อน หลังจากนั้น ปูยี ก็ไม่ได้เจอ วานจง อีกเลย เธอถูกทิ้งไว้ที่สถานบำบัดผู้ติดฝิ่นที่ฉางชุน และเสียชีวิตที่นั่นเมื่ออายุ 40 ปี ส่วนอี้จิน เธออยู่ที่ฉางชุน ทำงานในห้องสมุดและแต่งงานใหม่ ส่วนเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ เดินทางโดยรถไฟก็โดนรัสเซียจับกุมกัน
ปี 1950 ปูยี ถูกส่งตัวกลับมาที่จีน ถูกสอบสวนและจำคุกถึง 9 ปีเขาได้รับการปล่อยตัว ในเดือน ธันวาคม ปี1959 และอาศัยอยู่กับครอบครัวของเขาที่บ้านของบิดาในกรุงปักกิ่ง
ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับอิสระแต่แท้ที่จริงแล้วเขายังมีสภาพเป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลจีน เขาถูกจัดหน้าที่ให้เป็นคนทำสวนของสถาบันพฤกษศาสตร์ เพื่อสร้างภาพให้กับคอมมิวนิสต์ ต่อมาในปี 1962 เขาแต่งงานใหม่กับ หลี่ซู่เสียน นางพยาบาลและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์วัย 37 ปี
ในปี 1967 ปูยี เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่ไต นั่นอาจจะเป็นการได้รับอิสระอย่างแท้จริงที่เขาต้องการ

ภาพวัยเด็ก


ปูยีตอนอายุ 2 ปี





องค์ชายชุน บิดาของปูยี


องค์ชายชุน ปูเจี๋ย(นั่งบนตัก) ปูยี(ยืน)


ปูยี อายุ 3 ปี ว่าราชการ

ยีนบนบัลลังก์ออกว่าราชการ
ภาพวัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่ม









เรจินัลด์ จอห์นสตัน พระอาจารย์ชาวสก็อตแลนด์


ปูยี ถ่ายตอนที่อยู่เทียนสิน



ภาพเมื่อเข้ารับตำแหน่งจักรพรรดิแมนจูกัว

ปูยีในชุดจักรพรรดิแมนจูกัว

ภาพบั้นปลายชีวิต






ปูยีในวัยชราต้องเย็บผ้าเอง

ปูยีประกอบอาชีพคนสวนในบั้นปลายของชีวิต
ภาพปูยีถ่ายร่วมกับฮองเฮาวานจง ภรรยาคนแรก





ถ่ายเมื่อปี 1932
ภาพภรรยาของปูยี

ภรรยาคนที่ 1 ฮองเฮาวานจง หรือ อลิซาเบท


ภรรยาคนที่ 2 สนมเหวินซิ่ว

ภรรยาคนที่ 3 อี้หลิง

ภรรยาคนที่ 4 อี้จิน

ปูยี กับ ภรรยาคนที่ 5 หลี่ซู่เสียน

ยี กับ หลี่ซู่เสียนไปทำงานตอนเช้า

ที่มา

7/07/2552

Kawashima Yoshiko (โยชิโกะหญิงเหล็กยอดขุนพล )

Kawashima Yoshiko หรือ ชื่อไทยว่า โยชิโกะหญิงเหล็กยอดขุนพล เป็นเรื่องราวของ คาวาชิมะ โยชิโกะ หรือ จินปี้ฮุย หรือ อ้ายซินเจี๋ยหรอ เสียนจื่อ และฉายา ตงเจิน หรือ มาตาฮารีตะวันออก หรือ Eastern Jewel
การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้มีลักษณะคล้ายกับเรื่อง Last Emperor (ในเรื่อง Last Emperor เราก็ได้เห็น โยชิโกะ ในเรื่องด้วย ) โดยเริ่มจาก โยชิโกะ ได้รับการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ แล้วหนังก็ ย้อนเล่าไปถึงอดีตของโยชิโกะ ซึ่งเดิมเธอเป็น ธิดาคนที่ 14 ของอ๋องซู ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของแมนจู
เธอถูกส่งไปอยู่ญี่ปุ่นและกลายเป็นลูกบุญธรรมของ คาวาชิมะ นานิวะ และเขาเปลี่ยนชื่อเธอเป็น โยชิโกะ เมื่อเป็นวัยรุ่นเธอถูกพ่อเลี้ยงข่มขืน ต่อมาเธอถูกบังคับให้แต่งงานกับเจ้าชายมองโกลกานเจอจาบู ความอ่อนแอของสามี ทำให้เธอหย่าขาดในเวลาต่อมา เธอเดินทางกลับญี่ปุ่น และเดินทางต่อไปยังเซี่ยงไฮ้
โยชิโกะเริ่มขีดเส้นทางแห่งอำนาจของเธอโดยเริ่มจาก นายทหารที่ชื่อ ทานากะ โทคาโยชิ จากนั้นเธอได้ทำเรื่องต่างๆ มากมาย เช่น มีสัมพันธ์กับนายทหารหลายคนเพียงเพื่อความสำเร็จของงาน มอมเมาฮองเฮาวานจง ด้วยฝิ่นและมีความสัมพันธ์กับเธอ เพียงเพื่อจะนำเธอมาที่ แมนจูกัว เข้าร่วมการสถาปนาชาติแมนจูกัว รับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดอันกัวะ ฯลฯ ยังมีเรื่องราวอื่นๆ ที่หนังไม่ได้นำเสนอ เช่น การที่ส่ง โยชิโกะ ยามางูจิ เด็กสาวชาวญี่ปุ่นไปเป็นสายลับในแมนจูเรีย โดยยามางูจิ เป็นสายลับในคราบของนักแสดงชาวจีน ชื่อ หลี่เซียงหลาน ต่อมาเธอก็กลับสู่ญี่ปุ่น และเปลี่ยนชื่อเป็น โยชิโกะ โอทากะ
ภายหลังสงครามสิ้นสุด คาวาชิมะ โยชิโกะ ถูกจับและได้รับโทษประหาร










คาวาชิมะ โยชิโกะ (ซ้ายมือ)


ยามางูจิ โยชิโกะ สายลับญี่ปุ่นในคราบดาราจีน

ที่มาของข้อมูลhttp://www.orientalfilms.co.uk/http://english.runsky.com/homepage/english/travel/userobject1ai508138.htmlhttp://www.absoluteastronomy.com/encyclopedia/k/ka/kawashima_yoshiko.htmhttp://www.4dw.net/royalark/China/manchu4.htmhttp://japanfocus.org/article.asp?id=204ขอขอบคุณ กระทู้พันธ์ทิพย์เกี่ยวกับ คาวาชิมะ โยชิโกะ โดยคุณ sofatboy

The Soong sisters (สามพี่น้องตระกูลซ่ง ผู้ยิ่งใหญ่)

ภาพ ชาร์ลี ซ่ง ชาร์ลี ซ่ง ได้เดินทางไปอเมริกาตอนอายุ 9 ขวบ

เพื่อช่วยงานกิจการร้านขายผ้าของลุงที่บอสตัน แต่เขาไม่ชอบงานนี้นัก

จึงหนีลุงไปที่เรือลำหนึ่ง บังเอิญเรือลำนั้นออกจากท่าไป กัปตันเรือมาพบเขาภายหลังจากที่เรือแล่นมาไกลแล้ว กัปตันเรือผู้นี้พาเขาไปฝากที่โบสถ์ โดยมีบาทหลวงริคอร์ด คอยดูแล เขาได้เปลี่ยนศาสนาที่โบสถ์แห่งนี้และได้ชื่อใหม่จากที่นี่นั่นเอง ชาร์ลี ได้ศึกษาที่วิทยาลัยเมโธดิสม์ ทรินิตี้ (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาดุ๊ค) และย้ายไปเรียนต่อจนจบที่ มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ เขากลับสู่จีนในปี 1886 แต่งงานกับหญิงที่นับถือศาสนาเดียวกันมีลูก 6 คน เป็น ชาย 3 คน หญิง 3 คน

เรียงตามลำดับการเกิดดังนี้

1. ซ่งอ้ายหลิง (ลูกสาวคนโต)

2. ซ่งชิงหลิง (ลูกสาวคนรอง)

3. ซ่งจื่อหวุน หรือ ทีวี ซ่ง (ลูกชายคนโต) (รัฐมนตรีคลังและรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน , ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน)

4. ซ่งเหม่ยหลิง (ลูกสาวคนเล็ก)

5. ซ่งจื่อเหลียง (ลูกชายคนรอง) (นักธุรกิจที่นิวยอร์ค)

6. ซ่งจื่ออัน (ลูกชายคนเล็ก) (ประธานกรรมการธนาคารกวางตุ้ง)

สามพี่น้องผู้เกิดในครอบครัวมั่งมีและอบอุ่น ได้รับการศึกษาอย่างดีจากต่างประเทศ โดยที่คุณพ่อจบการศึกษาทางศาสนาจากอเมริกาและกลับมาเป็นหมอสอนศาสนาคริสต์ นิกายออโธดอกซ์ ในขณะที่ดร.ซุนจงซาน孙中山 ผู้เป็นเพื่อนก็เพิ่งจบแพทย์จากอเมริกากลับมา และเป็นผู้นำก่อการโค่นล้มราชวงศ์ชิง清朝การที่ปัญญาชนในสมัยนั้นจำนวนมากออกมาเคลื่อนไหวนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่พอใจต่อทางราชสำนักที่ใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อ ไม่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ปล่อยให้อดอยากยากแค้น ส่วนในด้านต่างประเทศก็อ่อนแอจนต้องเฉือนดินแดนให้กับประเทศต่าง ๆยึดครองโดยที่คนจีนเจ้าของประเทศไม่มีสิทธิเข้าไป เป็นการสูญเสียอธิปไตยที่นำความอับอายขายหน้าให้กับชาวจีน
ตระกูลซ่งที่มีฐานะการเงินและทางสังคมอย่างชาลี ซ่ง จึงได้ให้การสนับสนุนด้านการเงินให้กับ ดร.ซุนจงซานทำการปฏิวัติ และใช้โรงพิมพ์ส่วนตัวที่ปรกติใช้พิมพ์พระคัมภีย์ไบเบิลฉบับภาษาจีนเป็นที่พิมพ์ใบปลิวข่าวสารการปฏิวัติด้วย เมื่อการปฏิวัติเริ่มแพร่กระจายในวงกว้าง ทางรัฐบาลก็ออกจับกุมดร.ซุน ทำให้ดร.ซุนต้องหนีออกนอกประเทศไปพำนักอยู่ในญี่ปุ่น และมีอยู่ช่วงหนึ่งได้เข้ามาประเทศไทยเพื่อขอความสนับสนุนจากชาวจีนโพ้นทะเล โดยพำนักอยู่กับสหายแถวทรงวาด

หลังโค่นล้มราชวงศ์ชิงสำเร็จ ก็ใช่ว่าภาระกิจการปฏิวัติจะสิ้นสุดลง เนื่องจากสังคมจีนเกิดความแตกแยก ฐานะของชาวบ้านแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของดร.ซุนคือ การขาดกองกำลังของตนเองต้องไปพึ่งพากำลังทหารของพวกขุนศึก ซึ่งต่างก็จ้องหาโอกาสแย่งชิงอำนาจกันอยู่แล้ว จึงไม่วายที่ดร.ซุนถูกกองกำลังขุนศึกที่ตนเองพึ่งพาหันกระบอกปืนใส่ดร.ซุน จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ขณะที่ซ่งชิ่งหลิง 宋庆 龄 ผู้เป็นภรรยาก็ได้รับบาดเจ็บจนแท้งลูกและมีลูกต่อไปไม่ได้ พวกขุนศึกส่วนใหญ่เป็นกองกำลังที่ไร้ระเบียบวินัย หลายคนได้เป็นผู้นำกองกำ-ลังขึ้นมาเนื่องจากเป็นนักเลงหัวไม้มาก่อน ฉะนั้น การปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์มีอยู่ทั่วไป แม้หลุมฝังศพของพระนางฉือซีก็ยังโดนขุดเพื่อปล้นเอาทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้ และกล่าวกันว่า มุกที่อยู่ในปากของพระนางฉือซี (ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้ศพไม่บุบสลาย) ก็ถูกฉกไปและตอนหลังกลายเป็นเครื่องประดับข้อเท้าของซ่งเหม่ยหลิง 宋美龄 หรือมาดามเจียงไคเชค
สามสาวพี่น้องตระกูลซ่ง ซึ่งจบการศึกษาจากต่างประเทศในช่วงที่สังคมจีนสิ้นสุดราชวงศ์ชิงสู่สังคมสมัยใหม่ ได้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในครอบครัวซ่ง ซึ่งส่งผลต่อสังคมทั้งประเทศจีนด้วย พี่ใหญ่ซ่งอ่ายหลิง 宋蔼龄 ได้แต่งงานกับมหาเศรษฐีข่งเสียงซี 孔祥熙 ทายาทรุ่นที่ 75 ของขงจื่อ 孔子 ซ่งอ่ายหลิงผู้ซื้อ “รักเงิน” ยิ่งกว่าอื่นใดเพราะถือว่าเงินสามารถซื้อได้ทุกอย่าง และเขาก็ได้แสดงบทบาทด้วยการใช้เงินในต่างกรรมต่างวาระดังเช่นการออกทุนให้ ดร.ซุนก่อตั้งโรงเรียนทหารฮ๋วงผู่黄蒲 ที่มอบให้เจียงไคเชคซึ่งเป็นลูกน้องที่ได้รับความไว้วางใจเป็นผู้ดูแล หรือในคราวที่เจียงไคเชคถูกจับเป็นตัวประกันที่ซีอาน 西安 หลังถูกปล่อยตัวได้นั่งเครื่องบินมาลงที่หนานจิง 南京 แต่ไฟฟ้าในหนานจิงถูกญี่ปุ่นถลุ่มเสียจนไฟนำร่องของสนามบินใช้การไม่ได้ ซ่งอ่ายหลิงจึงได้ให้สามีติดต่อเพื่อนฝูงซึ่งล้วงแต่เป็นเศรษฐีในหนานจิง 9 ใน 10 คนล้วนรู้จักกับฮาฮาข่ง นำรถยนต์มาจอดเรียงแถว และเปิดไฟหน้ารถเป็นไฟนำร่องให้เครื่องบินลงจอดได้สำเร็จ และกรณีที่แสดงถึงอำนาจของเงินตราคือ หลังจากที่พรรคกั๋วหมิงด่าง 国民党(ก๊กมิ่งตั๋ง) ตกลงยินยอมร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อรบกับญี่ปุ่นแทนที่จะรบกันเอง ก็ซ่งอ่ายหลิงอีกนั่นแหละที่ควักกระเป๋าซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แจกจ่ายแก่ทหาร หลังจากนั้นทั้งคู่ก็อพยพครอบครัวไปอยู่ฮ่องกงก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จะมีชัยเหนือกั๋วหมิงต่างของเจียงไคเชค
สาวคนกลางของตระกูลซ่งคือ ซ่งชิ่งหลิง 宋庆 龄เมื่อจบการศึกษากลับจากต่างประเทศก็มาช่วยดร.ซุน เพราะเป็นคนที่ “รักชาติ”มากกว่าอื่นใดโดยทุกสิ่งที่ทำจะคำนึงถึงประเทศชาติก่อน การมาช่วยงานดร.ซุนได้นำไปสู่ความรักและตอนหลังแต่งงานกันที่ประเทศญี่ปุ่น เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากกับชาลี ซ่ง ผู้พ่อ จนถึงกับประกาศตัดสัม-พันธ์กับดร.ซุนอย่างเด็ดขาด และกล่าวหาดร.ซุนเป็น “คนลวงโลก”ต่อว่าดร.ซุนว่า “ข้าฯได้ทุ่มเททั้งเงินทองและชีวิตเพื่อเป็นทุนช่วยเหลือในการก่อการปฏิวัติ แต่ไม่ได้หมายถึงให้ลูกสาวเป็นทุนในการปฏิวัติด้วย”


ดร.ซุน 孙中山



ซ่งเหม่ยหลิงถ่ายเมื่อปี 1910ขณะเรียนอยู่ชั้นประถมในสหรัฐอเมริกา


การที่ซ่งชิ่งหลิงมีอุดมการณ์อย่างแรงกล้าในการสร้างชาติสู่สังคมที่ดีกว่าตัวเองจึงมีชีวิตที่ยากลำบากที่สุด ความขัดแย้งอย่างรุนแรงในหมู่พี่น้องด้วยกันจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากน้องคนเล็กซ่งเหม่ยหลิงตกลงปลงใจแต่งงานกับเจียงไคเชคซึ่งมีอุดมการณ์ต่างกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ซ่งชิ่งหลิงพยายามยึดแนวทางของดร.ซุนในการประนีประนอมกับฝ่ายต่าง ๆ เพื่อช่วยกันสร้างชาติ แต่เจียงไคเชคค้านหัวชนฝายังไงก็ไม่ เอาคอมมิวนิสต์และเข่นฆ่าผู้ที่สงสัยจะเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ทุกวัน จนซ่งชิ่งหลิงทนไม่ได้ ต้องออกมาประกาศยืนคนละข้างกับเจียงไคเชต และหันไปร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเต็มตัว และตัวเขาเองก็เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญ ในการบีบบังคับให้เจียงไคเชคต้องจับมือกับพรรคคอมมิวนิสต์สู้รบกับศัตรูร่วมของชาติคือ ญี่ปุ่นผู้รุกราน ดังที่ดร.ซุนกล่าวว่า“ป่วยนอกรักษาง่าย ป่วยในเยียวยายาก” จึงต้องยุติปัญาภายในเพื่อเอาชนะสัตรูของชาติให้ได้ก่อน หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์มีชัยแล้ว ซ่งชิ่ง-หลิงก็ได้เป็นกรรมการในพรรคฯ และเสียชีวิตในกรุงปักกิ่งเมื่อปี 1981โดยขณะที่นอนป่วยใกล้สิ้นใจ ก็ได้ติดต่อไปยังน้องสาว ซ่งเหม่ยหลิงซึ่งขณะนั้นพำนักอยู่ในอเมริกาให้กลับมาเพื่อเห็นหน้ากันครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่มีโอกาส เนื่องจากคนใกล้ชิดซ่งเหม่ยหลิงบอกว่าไม่ควรไปยุ่งกับพวกคอมมิวนิสต์
สาวน้องนุชคนสุดท้อง-ซ่งเหม่ยหลิง 宋美龄 ถือว่าเป็นคนที่มีบทบาทพลิกโลกอีกคนรองจากซ่งชิ่งหลิง และเป็นคนที่ “รักอำนาจ”เพราะเคยตั้งปณิธานว่า “ถ้าไม่ใช่ฮีโร่ไม่ขอแต่งด้วย” ฉะนั้นเมื่อเจอเจียงไคเชคมาจีบซึ่งขณะนั้นเจียงไคเชคเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนทหารฮ๋วงผู่ อีกหน่อยทหารในประเทศจีนย่อมเป็นลูกศิษย์และอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ซ่งอ่ายหลิงก็ยุส่งอีกว่า หากซ่งเหม่ยหลิงแต่งงานกับเจียงไคเชคก็จะได้เป็นสตรีหมายเลยหนึ่งของประเทศ ขณะที่ตัวเขาเองได้แต่งงานกับบุรุษผู้ร่ำรวยที่สุดของประเทศแล้ว ส่วนซ่งชิ่งหลิงซึ่งแต่งงานกับดร.ซุน ก็มีบารมีและได้รับการเคารพยกย่องถึง “บิดาของชาติ”ถ้าลงเอยกันอย่างนั้นได้ ตระกูลซ่งก็จะเป็นตระกูลที่ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ถึงกับสามารถเรียกได้ว่าเป็นราชวงศ์ตระกูลซ่ง 宋家皇朝 ทีเดียว
ในที่สุดครอบครัวตระกูลซ่งก็ยอมให้ลูกสาวคนเล็กแต่งงานกับเจียงไค-เชคผู้ซ่งมีลูกมีเมียแล้ว โดยให้เจียงไคเชคยอมรับเงื่อนไขสามประการของตระกูลคือ
1.จะต้องรักและไม่ทอดทิ้งซ่งเหม่ยหลิงตลอดจนชีวิตจะหาไม่
2.ต้องหย่าขาดกับภรรยาคนปัจจุบัน
3.จะต้องเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาคริสตร์ นิกายออโธด็อกซ์ เหมือนครอบครัวซ่ง


สามพี่น้องตระกูลซ่งวัยสาวรุ่น



สามพี่น้องตระกูลซ่งในวัยสาว


สามพี่น้องตระกูลซ่งในวัยทอง
เมื่อเจียงไคเชคเริ่มศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิล ก็มีการตีความพระวจนะของพระเจ้าบางประโยค เพื่ออ้างความชอบธรรมในการนำไปเข่นฆ่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์
การที่ซ่งเหม่ยหลิงแต่งงานกับเจียงไคเชคถือว่าเป็นการประกาศตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพี่สาว-ซ่งชิ่งหลิง หลังจากที่เจียงไคเชคพ่ายแพ้แก่เหมาเจ๋อตง 毛泽东 เจียงไคเชคก็หอบพาเอาครอบครัวและพลพรรคไปตั้งหลักบนเกาะไต้หวัน จวบจนเจียงไคเชตตาย ซ่งเหม่ยหลิงก็อพยพไปใช่ชีวิตบั้นปลายในอพาร์ทเมนต์หรูหราแห่งหนึ่งในกรุงนิวยอร์ค จนเสียชีวิตเมื่อปี2003
ที่กล่าวมาทั้งหมดคงไม่ถือเป็นการรีวิวเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ แต่เป็นการกล่าวถึงประวัติความเป็นมา ที่ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งการได้ดูหนังหลังจากที่รู้ถึงแก่นของความเป็นมาน่าจะทำให้การดูหนังได้รสชาติ และสนุกยิ่งขึ้น สำหรับแผ่นดีวีดีที่ได้มา เป็นฉบับ Director’s CutEdition ซึ่งมีความยาวประมาณ 145 นาที ยาวกว่าฉบับเดิม 10 นาที คุณภาพของภาพดีมาก คมชัด สะอาด ระบบเสียง Dolby Digital 5.1 เสียงซาวด์เอฟเฟคต์ดีมาก เสียอยู่นิดเดียวตรงเสียงพูดเบาไปหน่อย ในด้านภาพและเสียงผมให้ไปเลย 9 เต็ม 10 การเดินเรื่องเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่ยืดเยื้อ ชวนติดตามไม่น่าเบื่อ
สำหรับแผ่นซีดีซาวด์แทรค ซึ่งมีออกมาทั้งแผ่นคอมเมิลเชียลธรรมดา (แต่บันทึกเสียงได้ค่อนข้างดี) และแผ่น SACD ด้วยฝีมือระดับKitaro คงเป็นยี่ห้อรับประกันได้ แต่ละเพลงที่แต่งมาประกอบในภาพยนตร์นั้น ได้บรรยากาศดีมาก ทั้งความเหงาในช่วงที่ซ่งชิ่งหลิงหนีไปอยู่รัสเซีย สนุกสนานในเพลง Waltz and War ในงานพิธีแต่งงานของซ่งเหม่ยหลิงกับเจียงไคเชค สำหรับแทรคที่ 5 มีละครบ้านเราเรื่อง “บ้านภูตะวัน” เคยนำมาประกอบในเรื่องด้วย
ถึงแม้พี่น้องตระกูลซ่งจะอำลาโลกไปแล้วก็ตาม แต่ภาวการณ์ต่อสู้ระหว่างพี่น้องหาได้สิ้นสุดลงไม่ เพียงแต่เปลี่ยนจากพี่น้องในตระกูลเดียวกันเป็นพี่น้องในชาติเดียวกัน คือจีนแผ่นดินใหญ่ (ผู้พี่) กับจีนไต้หวัน (ผู้-น้อง) ที่พยายามจะแยกตัวเป็นอิสระจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งแน่นอนถ้าเกิดขึ้นจริงย่อมต้องมีการเข่นฆ่ากันในระหว่างพี่น้องร่วมชาติดั่งสมัยเจียงไคเชคกับเหมาเจ๋อตง และนักศึกษาประชาชนในสมัยนั้นได้ออกมาเดินขบวนเรียกร้องยุติฆ่ากันเองโดยให้ร่วมมือกันสู้กับศัตรูภายนอกด้วยการชูคำขวัญว่า “คนจีนต้องไม่ฆ่าคนจีนด้วยกันเอง” หรือ 中国人不殺中国人

ภาพ ขงเสียงซี กับ ซ่งอ้ายหลิงหลิง ตัวจริงและจากภาพยนตร์


ภาพ ดร.ซุนยัดเซ็น กับ ซ่งชิงหลิง ตัวจริงและจากภาพยนตร์

ภาพ เจียงไคเช็ค กับ ซ่งเหม่ยหลิง ตัวจริงและจากภาพยนตร์

ซ่งอ่ายหลิง 宋蔼龄่


ซ่งชิ่งหลิง 宋庆龄

ซ่งเหม่ยหลิง 宋美龄

บ้านเดิมของตระกูลซ่ง ซึ่งปัจจุบันทางรัฐบาลจีนอนุรักษ์ไว้โดยระบุว่าเป็นบ้านของสหายซ่งชิ่งหลิง 宋庆龄同志故居

ครอบครัวตระกูลซ่ง แถวหน้า: ซ่งจื่ออัน 宋子安แถว 2 จากซ้าย: ซ่งอ่ายหลิง 宋蔼龄 ซ่งจื่อเหวิน宋子文 ซ่งชิ่งหลิง宋庆龄แถว 3 จากซ้าย: คุณพ่อซ่งย่าวหยู 宋耀如คุณแม่หนีกุ้ยเจิน倪桂珍แถวหลังจากซ้าย: ซ่งจื่อเหลียง宋子良 ซ่งเหม่ยหลิง宋美龄

สามพี่น้องในฉงชิ่ง 重庆 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

สามพี่น้องท่ามกลางเด็ก ๆ
ซ่งเหม่ยหลิงในวาระสุดท้ายด้วยอำลาโลกเมื่อ 24 ตุลาคม 2003 ด้วยอายุรวม 106 ปี