ประวัติของเขา
เจงกิสข่าน หรือชื่อเดิม เตมูจิน เกิดปี ค.ศ. 1162 ในครอบครัวของขุนศึกคนนึงในภาคกลางของมองโกเลีย ริมแม่น้ำรูเลน เมื่อครั้งที่เขาอายุ9ปี คนของเผ่าศัตรูได้ฆ่าพ่อของเขา ทำให้ครอบครัวของเขาต้องลี้ภัยหนี ครอบครัวของเขาต้องเจอกับอากาศหนาวอันโหดร้าย และยังมาเจอการปล้นค่ายของอีกเผ่า ทำให้เตมูจินโดนจับตัว แต่เขาก็หนีรอดกลับมาได้ เตมูจิน เป็นนักรบที่เก่งกาจ ดุดัน โหดร้ายเมื่ออายุได้เพียงสิบกว่าๆเท่านั้น อายุไม่ถึง20ก็เริ่มทำให้ก๊กต่างๆในมองโกลร่วมมือกันด้วยวิธีการทูต แต่ ความพยายามมาสำเร็จตอนที่ บอร์เท ภรรยาของเขาโดนลักพาตัว เขาจึงขอความช่วยเหลือจากพันธมิตร
ค.ศ.1206 เตมูจินสามารุถทำให้มองโกลรวมเป็นหนึ่ง และได้ฉายาว่า "เจงกิสข่าน" หลังจากนั้น
เจงกิสข่าน หรือชื่อเดิม เตมูจิน เกิดปี ค.ศ. 1162 ในครอบครัวของขุนศึกคนนึงในภาคกลางของมองโกเลีย ริมแม่น้ำรูเลน เมื่อครั้งที่เขาอายุ9ปี คนของเผ่าศัตรูได้ฆ่าพ่อของเขา ทำให้ครอบครัวของเขาต้องลี้ภัยหนี ครอบครัวของเขาต้องเจอกับอากาศหนาวอันโหดร้าย และยังมาเจอการปล้นค่ายของอีกเผ่า ทำให้เตมูจินโดนจับตัว แต่เขาก็หนีรอดกลับมาได้ เตมูจิน เป็นนักรบที่เก่งกาจ ดุดัน โหดร้ายเมื่ออายุได้เพียงสิบกว่าๆเท่านั้น อายุไม่ถึง20ก็เริ่มทำให้ก๊กต่างๆในมองโกลร่วมมือกันด้วยวิธีการทูต แต่ ความพยายามมาสำเร็จตอนที่ บอร์เท ภรรยาของเขาโดนลักพาตัว เขาจึงขอความช่วยเหลือจากพันธมิตร
ค.ศ.1206 เตมูจินสามารุถทำให้มองโกลรวมเป็นหนึ่ง และได้ฉายาว่า "เจงกิสข่าน" หลังจากนั้น
การยึดครองโลกก็เริ่มต้นขึ้น มองโกลเริ่มปฏิบัติการทางทหาร ต่อมณทลชีเชีย ซึ่งเป็นดินแดนส่วนตะวันตกเฉียบเหนือของจีน และของธิเบตเป็นบางส่วน การรบดำเนินไปถึงปี ค.ศ.1210 เจ้าแคว้นยอมแพ้
การรบของกองทัพเจงกิสข่าน สามารถทำให้จีนทั้งหมดพ่ายแพ่ และยึดรวมไปถึงบริเวณเกาหลีในปัจจุบันเขาส่งทูตไปทางตะวันตก ของชาวเติร์ก แต่ทูตโดนสังหารทั้งหมด เขาเลยตัดสินใจยึดภูมิภาคซึ่งในปัจจุบันคือ อิรัก อีหร่านและภาคตะวันตกของเตอร์กิสสถาน ตามด้วยภาคเหนือของปากิสสถานและอินเดียว ก่อนขึ้นมาทักทายรัสเซีย และบุกยึดดินแดนตั้งแต่ อ่าวเปอร์เซียยันมหาสมุทรอาร์คติก แต่มนุษย์ย่อมมีวันดับ แม้จะเป็นยอดขุนศึกอย่างเขา เขาเสียชีวิตในช่วง ปีค.ศ.1226
แต่จะว่าไป นักรบผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ก็ไม่ใช่คนดีซะทีเดียว เขาตีเมืองซามาร์คาน จนแตกพ่ายในเวลาไม่นาน ซามาร์คาน เป็นมหานครของจักรพรรดิ์ ชาห์ มูฮัมหมัด แห่งจักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม"
เหตุที่เรียกว่าเป็นมหานคร เพราะ มีพลเมืองถึง2แสนคน และจักรวรรดิควาริตซึ่ม เรียกว่ามหาจักรวรรดิเพราะ เนื้อที่กินประเทศใหญ่ๆ ร่วม10ประเทศ ทั้งอัฟกานิสถานและอิหร่านในปัจจุบัน พรมแดนด้านตะวันตก จนถึงทะเลสาบแคสเปียน ด้านใต้ถึงมหาสมุทรอินเดียมหรนครซามาร์คาน มีทหารพร้อมรบอยู่ถึง1แสน1หมื่นคน แต่เจงกิสข่านยกทัพ8หมื่นซึ่งเป็นทหารม้าซะส่วนใหญ่ตีเมืองจะแตกพ่าย .... จริงๆตรงนี้มันก็เป็นเรื่องปกติ หากแต่ หลังจากยึดได้ เจงกิสข่านสั่งเผาเมือง ให้ทหารไล่ฆ่าผู้คนตายนับแสน เหลือไว้แต่ผู้มีความรู้ความสามารถ เพียง3หมื่นคน และส่งพวกเขาไปมองโกล เพื่อพัฒนาชาติของเขา
แล้วก็ ปัจจัยที่ทำให้เขาเกือบครองโลก
นักประวัติศาสตร์ทั้งหลายมีความเห็นว่า หากตีไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่....เวลานั้น
แต่จะว่าไป นักรบผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ก็ไม่ใช่คนดีซะทีเดียว เขาตีเมืองซามาร์คาน จนแตกพ่ายในเวลาไม่นาน ซามาร์คาน เป็นมหานครของจักรพรรดิ์ ชาห์ มูฮัมหมัด แห่งจักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม"
เหตุที่เรียกว่าเป็นมหานคร เพราะ มีพลเมืองถึง2แสนคน และจักรวรรดิควาริตซึ่ม เรียกว่ามหาจักรวรรดิเพราะ เนื้อที่กินประเทศใหญ่ๆ ร่วม10ประเทศ ทั้งอัฟกานิสถานและอิหร่านในปัจจุบัน พรมแดนด้านตะวันตก จนถึงทะเลสาบแคสเปียน ด้านใต้ถึงมหาสมุทรอินเดียมหรนครซามาร์คาน มีทหารพร้อมรบอยู่ถึง1แสน1หมื่นคน แต่เจงกิสข่านยกทัพ8หมื่นซึ่งเป็นทหารม้าซะส่วนใหญ่ตีเมืองจะแตกพ่าย .... จริงๆตรงนี้มันก็เป็นเรื่องปกติ หากแต่ หลังจากยึดได้ เจงกิสข่านสั่งเผาเมือง ให้ทหารไล่ฆ่าผู้คนตายนับแสน เหลือไว้แต่ผู้มีความรู้ความสามารถ เพียง3หมื่นคน และส่งพวกเขาไปมองโกล เพื่อพัฒนาชาติของเขา
แล้วก็ ปัจจัยที่ทำให้เขาเกือบครองโลก
นักประวัติศาสตร์ทั้งหลายมีความเห็นว่า หากตีไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่....เวลานั้น
เจงกิสข่านจะได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิองค์แรกและองค์เดียวที่ครองโลกได้ เพราะว่าเขายึดรัสเซียได้ค่อนประเทศ บุกถึงยุโรปกลางเตรียมยึดเกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่กลับเมืองเสียก่อน
กองทัพของเขาเป็นเช่นไร?สำหรับเขา เมืองที่ยอมแพ้ เขาไม่ได้เอาแค่เครื่องราชบรรณาการทุกปีๆ แต่เขาเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพด้วย การตีกรุงแบกแดดในปี 1258 กองทัพของเขามีทหารจาก จอร์เจีย อาร์เมเนีย และเปอร์เซียรวมอยู่นอกจากนั้นกองทัพของเขาจัดรูปแบบไม่ซ้ำใคร เดินทัพไปเลี้ยงสัตว์ไป ทั้งวัว ควาย แพะ แม้กระทั้งม้าศึก
กำลังหลักของเขามีประมาณ1แสนคน แบ่งออกเป็น10 ทูเมน หรือกองพลที่มีกำลังพล1หมื่นนาย หน่วยรบของเขาจะได้รับการฝึกอาวุธ อย่างดี จากยุทธศาสตร์หลายๆชาติ เช่น จีน อาหรับ เปอร์เซียในการเรือทัพ ทูเมน ต่างๆจะจัดกระบวนทัพ เป็นแนวหน้ากระดานกว้างประมาณ50ไมล์ มีทัพหลวงตรงกลางในกองทัพของเขามีม้าศึกสำรอง ไว้เปลี่ยนจำนวนมหาศาล นอกจากนั้นมีฝูงวัว แพะติดตามทุกทูเมน เพื่อใช้เป็นเสบียง อาหารหลักของชาวมองโกลคือ นม และยังใช้เนื้อเป็นอาหารได้การเคลื่อนทัพได้เวลาปกติ ได้ความเร็วต่ำมาก ประมาณ5ไมล์ต่อวัน จะมีการหยุดพักวันละ4ครั้ง เพื่อรีดนมสัตว์แต่เมื่อจะเข้าโจมตี ทั้งสิบทูเมนจะรวมตัวเข้ากับทัพหลวงและพุ่งไปอย่างสายฟ้าแลบนี่คือกองทัพไร้พ่าย ที่ตีญี่ปุ่น บุกเกาหลี ขยี้รัสเซีย เหยียบพม่า ขย้ำจีน มีบันทึกว่า ครั้งนึง มีเจ้าเมืองคนนึงหนีเข้าไปซ่อนตัวในโบสถ์ ด้วยความคิดที่ว่า เจงกิสข่านจะไม่ทำร้าย แต่ตรงข้าม เขาเผาโบสถ์อย่างไม่ใยดี และกล่าววาจาอมตะ ว่า"ข้าไม่ได้ลบหลู่พระเจ้า แต่คนถ่อยทำให้โบสถ์มัวหมอง จึงทำลาย"ผู้คน ชาวบ้านชาวเมือง หรือแม้แต่เจ้าเมือง ทหาร หากรู้ข่าวว่ากองทัพของเขาบุกมา จะกลัวกันหัวหด ชาวคริสถึงกับบอกว่า "เขาคือซาตานกลับชาติมาเกิด"
หากแต่ ต่อให้เป็นคนชั่วช้าแค่ไหน ก็ยังมีความดี เจงกิสข่านก็เช่นกัน เขาไม่กดขี่ศาสนาอื่นๆ แม้มองโกลจะมีลัทธิเต็งกรี* เป็นศาสนาประจำชาติ เขาก็ยังให้ผู้คนนับถือได้ทุกศาสนา แต่เหนือสิ่งอื่นใดการที่เขาฆ่าคนเยี่ยงผักปลา เผาโบราณสถาน โบราณวัตถุที่มีค่ามหาศาล จนได้ฉายาว่าเทพสงคราม แต่คนหลายคนมองเขาเป็น"ขุนศึกที่กระหายสงครามที่ยิ่งใหญ่ในโลก"เลยก็ว่าได้--------------------------------------------------------------------------------------------*ลัทธิเต็งกรี เป็นศาสนาของมองโกล นักถือเจงกิสข่านเป็นพระเจ้าชั้นราชาสวรรค์
กองทัพของเขาเป็นเช่นไร?สำหรับเขา เมืองที่ยอมแพ้ เขาไม่ได้เอาแค่เครื่องราชบรรณาการทุกปีๆ แต่เขาเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพด้วย การตีกรุงแบกแดดในปี 1258 กองทัพของเขามีทหารจาก จอร์เจีย อาร์เมเนีย และเปอร์เซียรวมอยู่นอกจากนั้นกองทัพของเขาจัดรูปแบบไม่ซ้ำใคร เดินทัพไปเลี้ยงสัตว์ไป ทั้งวัว ควาย แพะ แม้กระทั้งม้าศึก
กำลังหลักของเขามีประมาณ1แสนคน แบ่งออกเป็น10 ทูเมน หรือกองพลที่มีกำลังพล1หมื่นนาย หน่วยรบของเขาจะได้รับการฝึกอาวุธ อย่างดี จากยุทธศาสตร์หลายๆชาติ เช่น จีน อาหรับ เปอร์เซียในการเรือทัพ ทูเมน ต่างๆจะจัดกระบวนทัพ เป็นแนวหน้ากระดานกว้างประมาณ50ไมล์ มีทัพหลวงตรงกลางในกองทัพของเขามีม้าศึกสำรอง ไว้เปลี่ยนจำนวนมหาศาล นอกจากนั้นมีฝูงวัว แพะติดตามทุกทูเมน เพื่อใช้เป็นเสบียง อาหารหลักของชาวมองโกลคือ นม และยังใช้เนื้อเป็นอาหารได้การเคลื่อนทัพได้เวลาปกติ ได้ความเร็วต่ำมาก ประมาณ5ไมล์ต่อวัน จะมีการหยุดพักวันละ4ครั้ง เพื่อรีดนมสัตว์แต่เมื่อจะเข้าโจมตี ทั้งสิบทูเมนจะรวมตัวเข้ากับทัพหลวงและพุ่งไปอย่างสายฟ้าแลบนี่คือกองทัพไร้พ่าย ที่ตีญี่ปุ่น บุกเกาหลี ขยี้รัสเซีย เหยียบพม่า ขย้ำจีน มีบันทึกว่า ครั้งนึง มีเจ้าเมืองคนนึงหนีเข้าไปซ่อนตัวในโบสถ์ ด้วยความคิดที่ว่า เจงกิสข่านจะไม่ทำร้าย แต่ตรงข้าม เขาเผาโบสถ์อย่างไม่ใยดี และกล่าววาจาอมตะ ว่า"ข้าไม่ได้ลบหลู่พระเจ้า แต่คนถ่อยทำให้โบสถ์มัวหมอง จึงทำลาย"ผู้คน ชาวบ้านชาวเมือง หรือแม้แต่เจ้าเมือง ทหาร หากรู้ข่าวว่ากองทัพของเขาบุกมา จะกลัวกันหัวหด ชาวคริสถึงกับบอกว่า "เขาคือซาตานกลับชาติมาเกิด"
หากแต่ ต่อให้เป็นคนชั่วช้าแค่ไหน ก็ยังมีความดี เจงกิสข่านก็เช่นกัน เขาไม่กดขี่ศาสนาอื่นๆ แม้มองโกลจะมีลัทธิเต็งกรี* เป็นศาสนาประจำชาติ เขาก็ยังให้ผู้คนนับถือได้ทุกศาสนา แต่เหนือสิ่งอื่นใดการที่เขาฆ่าคนเยี่ยงผักปลา เผาโบราณสถาน โบราณวัตถุที่มีค่ามหาศาล จนได้ฉายาว่าเทพสงคราม แต่คนหลายคนมองเขาเป็น"ขุนศึกที่กระหายสงครามที่ยิ่งใหญ่ในโลก"เลยก็ว่าได้--------------------------------------------------------------------------------------------*ลัทธิเต็งกรี เป็นศาสนาของมองโกล นักถือเจงกิสข่านเป็นพระเจ้าชั้นราชาสวรรค์
ด้านรัฐศาสตร์
เจงกิสข่านสามารถรวมเผ่ามองโกล ที่มีอยู่ มากมายหลายเผ่าเข้าเป็นสมาพันธ์ชาวเผ่าได้ตั้งแต่มีวัยเพิ่ง แตกพาน นับเป็นสมาพันธ์แห่งแรกของโลกก็ว่าได้ และต่อมามีการรวมตัวสมาพันธ์ดังกล่าว เข้าเป็นอาณาจักร เดียวกันโดยมีเจงกิสข่านเป็นกษัตริย์องค์แรก
มีการขยายอาณาจักรออกไปเรื่อยๆ จนอาณาเขตด้านตะวันออก จดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มองโกเลียกลาย เป็นมหาจักรวรรดิขึ้นในเวลาต่อมา
นอกจากการขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างไกลแล้ว ยังรวบรวมช่างฝีมือและผู้มีศิลปวิทยาการด้านต่างๆ ส่งกลับมายังมองโกเลียด้วย นอกเหนือจากทรัพย์สินเงินทองที่ยึดมาได้จากการบุกโจมตีอาณาจักรต่างๆ
ด้านการศาสนา
โดยปรกติชาวมองโกเลีย นับถือศาสนาพุทธ และลัทธิ "เต็งกรี" หรือ ลัทธิบูชาเทพ ชาวมองโกเลียนับถือเจงกิสข่าน เป็นเทพองค์หนึ่ง เป็นเทพชั้นราชาแห่งสวรรค์ แต่พระองค์ก็ไม่ขัดขวาง หรือกดขี่ศาสนาอื่น ดังนั้น ในมองโกเลียจึงมีทุกศาสนา ไม่ว่าพุทธ อิสลาม คริสต์ หรือลัทธิเต็งกรี แม้แต่ในพระบรมราชวงศ์ ของเจงกิสข่านยังมีผู้นับถือศาสนา กันเกือบทุกศาสนา
ด้านการทหาร
ในยุคของเจงกิสข่าน ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า โลกได้รับความยับเยิน จากภัยสงครามมากกว่ายุคใดในสมัยโบราณ ไม่ว่าสงครามครูเสด สงครามรวมอาณาจักรจีน สงครามในเอเชียกลางไม่มีครั้งไหน ที่บ้านเมืองจะถูกทำลายยับเยิน และผู้คนจะเสียชีวิตมากมายเท่าครั้งนี้
การรบของเจงกิสข่านไม่เหมือน จักรพรรดิองค์ใดในโลก ตามปรกติหากยอมอ่อนน้อมโดยดีก็จะมีการกำหนด ให้ส่งราชบรรณาการทุกปี แต่สำหรับเจงกิสข่านนั้น นอกจากเครื่องราชบรรณาการแล้ว ยังมีการเกณฑ์ไพร่พล เข้าร่วมในกองทัพด้วย
จะเห็นได้ว่าในการเข้าตีกรุงแบกแดดเมื่อปี ค.ศ.1208 กองทัพเจงกิสข่านประกอบด้วยทหารจากจอร์เจีย อาร์เมเนีย และเปอร์เซียรวมอยู่ด้วย และหากบ้านเมืองใดต่อสู้ขัดขืน ก็จะตะลุยตีจนยึดเมืองได้ จากนั้นก็จะมีการสำรวจดูว่าชาวเมืองคนใด เป็นช่างฝีมือ และมีความรู้ความสามารถ ทางวิทยาการต่างๆ จะถูกส่งกลับไปมองโกเลีย ที่เหลือจะ ถูกสังหารหมด ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ สตรีหรือคนชรา
แม้ว่าเจงกิสข่านจะนับถือศาสนาทุกศาสนา แต่ก็ไม่ละเว้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาใด หากปรากฏว่ามีศัตรูเข้า ไปซ่อนตัวอยู่จะสั่งเผาทันที มีการบันทึกไว้ว่า เมื่อบุกตะลุยเข้าไปใน ดินแดนรัสเซีย เจ้าผู้ครองนครชาวรัสเซียหนีเข้าไปซ่อนตัวในโบสถ์ ด้วยคิดว่าเจงกิสข่านจะไม่ทำอันตรายแต่เจงกิสข่านก็สั่งให้เผาโบสถ์ให้ไฟคลอกจนสิ้น พระชนม์ทั้งเป็นทั้งหมด
เจงกิสข่านบอกว่า ที่เผาโบสถ์ไม่ใช่เพราะลบหลู่พระเจ้า แต่เพราะคนเลวไปทำให้โบสถ์มัวหมองจึงต้องทำลายทิ้ง
วีรกรรมยิ่งใหญ่
หากพิจารณาตามพื้นเพเดิมแล้ว เจงกิสข่านเป็นเพียงหัวหน้าเ ผ่ามองโกลเร่ร่อนเผ่าเล็กๆ เท่านั้น อาศัยอยู่ในเต็นท์ ไม่มีบ้านเมืองของตนเอง แต่สามารถปราบปรามจักรวรรดิต่างๆได้ราบคาบอย่างง่ายดาย ถือเป็นวีรกรรมที่ควรจะยกย่อง วีรกรรมที่จัดว่ายิ่งใหญ่นั้นได้แก่ การบุกตะลุยเข้าตีเมืองซามาร์คาน จนแตกกระเจิงโดยใช้เวลาไม่มากนัก
ซามาร์คาน เป็นนครหลวงระดับ มหานครของจักรพรรดิ ชาห์ มูฮัมหมัด แห่งมหาจักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ซามาร์คานต้องเรียกว่ามหานคร เพราะมีพลเมืองถึง 200,000 คน ภายในกำแพงเมือง
จักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ต้องเรียกมหาจักรวรรดิ เพราะครอบคลุมประเทศใหญ่ๆ ในปัจจุบันไว้ร่วมสิบประเทศ รวมทั้งอัฟกานิสถานและอิหร่าน พรมแดนด้านตะวันตก จดทะเลสาบแคสเปียน ด้านใต้จดมหาสมุทรอินเดียภายในมหานครซามาร์คาน มีทหารประจำการพร้อมรบอยู่ถึง 110,000 คน เจงกิสข่านเคลื่อนพล 8 หมื่น ส่วนมากเป็น กองม้าบุกเข้าตีจนแตกพ่าย
เมื่อยึดซามาร์คาน ได้ก็มีการสั่งเผาเมืองทั้งเมือง และไล่ฆ่าผู้คนตายนับแสน เหลือไว้เฉพาะช่างฝีมือ และผู้มีความรู้เพียง 30,000 คน และส่งคนเหล่านี้ไปมองโกเลีย เพื่อเป็นทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป
เจงกิสข่านเกือบครองโลก
นักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นตรงกันว่า หากรุกไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่ เจงกิสข่าน จะได้ ชื่อว่าเป็น มหาจักรพรรดิองค์แรก และองค์เดียวที่ครองโลกได้ โลกในยุคนั้นมีแค่จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แถวเมืองจีนไล่ไปถึงฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น เพราะเป็นเขตที่มีการตั้งอาณาจักร มีวัฒนธรรมกัน
กองทัพเจงกิสข่านตะลุยยึดได้รัสเซียกว่าค่อนประเทศ บุกถึงยุโรปกลางและเยอรมันเตรียมบุกยึดเกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจเดินทางกลับบ้านเมืองเสียก่อน นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า หากเดินทัพต่อไปจริงๆ ก็คงยึดได้ไม่ยาก
กองทัพประหลาด และกลยุทธ์ผ่าเหล่า
เจงกิสข่านจัดรูปแบบ กระบวนทัพแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เดินทัพไปเลี้ยงสัตว์พวกวัวควาย และแพะ ตลอดจน ม้าศึกไปด้วย เมื่อสั่งบุกโจมตี ก็สามารถรวมพลได้เร็วและสามารถเข้าตีได้อย่างสายฟ้าแลบ
กำลังหลักของเจงกิสข่านจะมีประมาณ 100,000 คน แบ่งออกเป็นสิบ "ทูเมน" หรือกองพลมีกําลังรบ 10,000 นาย แต่ละกองพลจะมีผู้ติดตามทหารอีก นายละ 4 คน โดยเฉลี่ย ดังนั้น ในแต่ละกองพลจะมีผู้คนติดตาม ขบวนทหารอีกประมาณ 4 หมื่นคน
เมื่อเข้าตี ขบวนครอบครัวผู้ติดตามทหารมา จะต้องถอยห่างออกไปทางด้านหลังแนวรบ หน่วยรบจะได้รับการฝึกปรือเพลงอาวุธ ทุกประเภทอย่างเจนจบ ศึกษายุทธศาสตร์ต่างๆจากหลายชาติ เช่น เปอร์เซีย อาหรับ และจีน
ในการเดินทัพ "ทูเมน" หรือกองพลต่างๆ จะจัดกระบวนทัพ เป็นแนวหน้ากระดานกว้าง 50 ไมล์ โดยมีทัพหลวงอยู่ตรงกลาง เจงกิสข่านพร้อมกับพระมเหสีและพระสนมจะประทับอยู่ในเต็นท์เดียวกัน เป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ติดล้อเพื่อให้เคลื่อนที่ได้
ในตอนกลางวันเต็นท์หลวง จะทําหน้าที่เป็นที่ออกขุนนาง และรับราชทูตส่วนกลางคืนใช้เป็นที่ประทับ ซึ่งประทับในเต็นท์เดียวกันหมด ทั้งพระมเหสี พระสนม พระโอรสและธิดา เต็นท์ถัดไปข้างหลัง จะเป็นของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งจะเคลื่อนไปข้างหน้า ตามลําดับความสําคัญของฐานานุรูป โดยใช้วัวนับสิบตัวลาก
ในขบวนทัพจะมีม้าสํารอง ไว้คอยเปลี่ยนเป็นจํานวนมาก นอกจากนั้นยังมีฝูงแกะแพะติดตาม ไปด้วยทุกกองพล เพื่อใช้เป็นแหล่งเสบียง เนื่องจากชาวมองโกลนิยม ดื่มนมสัตว์เป็นอาหารหลัก และยังได้เนื้อเป็นอาหารอีกด้วย
การเคลื่อนทัพไปในยามปรกต ิใช้ความเร็วตํ่ามากเพียง 5 ไมล์ต่อวันเท่านั้นและจะมีการหยุดพักการเดินทาง วันละ 4 ครั้ง เพื่อรีดนมสัตว์เป็นอาหาร เมื่อจะเข้าทําการโจมตี กองพลทั้งสิบจะเข้ารวมตัว กับทัพหลวงอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งไปข้างหน้าราวสายฟ้าแลบ
จะเห็นได้ว่า เจงกิสข่าน ตะลุยไปแล้วทั่วโลก บุกเกาหลี ข้ามทะเลไปตีถึงญี่ปุ่น ลุยมาถึงฮานอย ในอดีต และเหยียบไปถึงเมืองพุกามในพม่า นอกจากมีความสามารถ ในการรบอย่างสุดยอดแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม เนื่องจากให้เสรีใน การนับถือแก่ ทุกศาสนาในโลก โดยไม่กดขี่หรือกีดกัน
เจงกิสข่านพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ไม่ใช่คนเถื่อน เพราะยังมีใจรักอารยธรรมและวัฒนธรรม แม้จะนิยมการเผาบ้านเมือง และถาวรวัตถุของศัตรู แต่ก็เป็นไปด้วยเหตุผล ทางยุทธศาสตร์ประการเดียว และยังมีการไว้ชีวิต ช่างฝีมือ และผู้มีความรู้ด้านศิลปวิทยาการต่างๆ และส่งกลับมองโกเลีย ด้วยหวังว่าจะได้สอน ชาวมองโกเลียให้มีความก้าวหน้า ในศิลปวิทยาการต่างๆ บ้าง
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่เจงกิสข่านสามารถ ตะลุยปราบหัวเมืองต่างๆ ไปได้เกือบทั่วโลกโดยไม่มีใครต้าน พลานุภาพได้ และไม่มีใครทําได้สําเร็จเช่นนี้ตลอดช่วงสหัสวรรษเดียวกันนี้ ก็พอเพียงที่จะได้รับการยกย่อง แล้วว่า เป็นมหาบุรุษได้อย่างไม่มีข้อกังขา.
เจงกิสข่านสามารถรวมเผ่ามองโกล ที่มีอยู่ มากมายหลายเผ่าเข้าเป็นสมาพันธ์ชาวเผ่าได้ตั้งแต่มีวัยเพิ่ง แตกพาน นับเป็นสมาพันธ์แห่งแรกของโลกก็ว่าได้ และต่อมามีการรวมตัวสมาพันธ์ดังกล่าว เข้าเป็นอาณาจักร เดียวกันโดยมีเจงกิสข่านเป็นกษัตริย์องค์แรก
มีการขยายอาณาจักรออกไปเรื่อยๆ จนอาณาเขตด้านตะวันออก จดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มองโกเลียกลาย เป็นมหาจักรวรรดิขึ้นในเวลาต่อมา
นอกจากการขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างไกลแล้ว ยังรวบรวมช่างฝีมือและผู้มีศิลปวิทยาการด้านต่างๆ ส่งกลับมายังมองโกเลียด้วย นอกเหนือจากทรัพย์สินเงินทองที่ยึดมาได้จากการบุกโจมตีอาณาจักรต่างๆ
ด้านการศาสนา
โดยปรกติชาวมองโกเลีย นับถือศาสนาพุทธ และลัทธิ "เต็งกรี" หรือ ลัทธิบูชาเทพ ชาวมองโกเลียนับถือเจงกิสข่าน เป็นเทพองค์หนึ่ง เป็นเทพชั้นราชาแห่งสวรรค์ แต่พระองค์ก็ไม่ขัดขวาง หรือกดขี่ศาสนาอื่น ดังนั้น ในมองโกเลียจึงมีทุกศาสนา ไม่ว่าพุทธ อิสลาม คริสต์ หรือลัทธิเต็งกรี แม้แต่ในพระบรมราชวงศ์ ของเจงกิสข่านยังมีผู้นับถือศาสนา กันเกือบทุกศาสนา
ด้านการทหาร
ในยุคของเจงกิสข่าน ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า โลกได้รับความยับเยิน จากภัยสงครามมากกว่ายุคใดในสมัยโบราณ ไม่ว่าสงครามครูเสด สงครามรวมอาณาจักรจีน สงครามในเอเชียกลางไม่มีครั้งไหน ที่บ้านเมืองจะถูกทำลายยับเยิน และผู้คนจะเสียชีวิตมากมายเท่าครั้งนี้
การรบของเจงกิสข่านไม่เหมือน จักรพรรดิองค์ใดในโลก ตามปรกติหากยอมอ่อนน้อมโดยดีก็จะมีการกำหนด ให้ส่งราชบรรณาการทุกปี แต่สำหรับเจงกิสข่านนั้น นอกจากเครื่องราชบรรณาการแล้ว ยังมีการเกณฑ์ไพร่พล เข้าร่วมในกองทัพด้วย
จะเห็นได้ว่าในการเข้าตีกรุงแบกแดดเมื่อปี ค.ศ.1208 กองทัพเจงกิสข่านประกอบด้วยทหารจากจอร์เจีย อาร์เมเนีย และเปอร์เซียรวมอยู่ด้วย และหากบ้านเมืองใดต่อสู้ขัดขืน ก็จะตะลุยตีจนยึดเมืองได้ จากนั้นก็จะมีการสำรวจดูว่าชาวเมืองคนใด เป็นช่างฝีมือ และมีความรู้ความสามารถ ทางวิทยาการต่างๆ จะถูกส่งกลับไปมองโกเลีย ที่เหลือจะ ถูกสังหารหมด ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ สตรีหรือคนชรา
แม้ว่าเจงกิสข่านจะนับถือศาสนาทุกศาสนา แต่ก็ไม่ละเว้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาใด หากปรากฏว่ามีศัตรูเข้า ไปซ่อนตัวอยู่จะสั่งเผาทันที มีการบันทึกไว้ว่า เมื่อบุกตะลุยเข้าไปใน ดินแดนรัสเซีย เจ้าผู้ครองนครชาวรัสเซียหนีเข้าไปซ่อนตัวในโบสถ์ ด้วยคิดว่าเจงกิสข่านจะไม่ทำอันตรายแต่เจงกิสข่านก็สั่งให้เผาโบสถ์ให้ไฟคลอกจนสิ้น พระชนม์ทั้งเป็นทั้งหมด
เจงกิสข่านบอกว่า ที่เผาโบสถ์ไม่ใช่เพราะลบหลู่พระเจ้า แต่เพราะคนเลวไปทำให้โบสถ์มัวหมองจึงต้องทำลายทิ้ง
วีรกรรมยิ่งใหญ่
หากพิจารณาตามพื้นเพเดิมแล้ว เจงกิสข่านเป็นเพียงหัวหน้าเ ผ่ามองโกลเร่ร่อนเผ่าเล็กๆ เท่านั้น อาศัยอยู่ในเต็นท์ ไม่มีบ้านเมืองของตนเอง แต่สามารถปราบปรามจักรวรรดิต่างๆได้ราบคาบอย่างง่ายดาย ถือเป็นวีรกรรมที่ควรจะยกย่อง วีรกรรมที่จัดว่ายิ่งใหญ่นั้นได้แก่ การบุกตะลุยเข้าตีเมืองซามาร์คาน จนแตกกระเจิงโดยใช้เวลาไม่มากนัก
ซามาร์คาน เป็นนครหลวงระดับ มหานครของจักรพรรดิ ชาห์ มูฮัมหมัด แห่งมหาจักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ซามาร์คานต้องเรียกว่ามหานคร เพราะมีพลเมืองถึง 200,000 คน ภายในกำแพงเมือง
จักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ต้องเรียกมหาจักรวรรดิ เพราะครอบคลุมประเทศใหญ่ๆ ในปัจจุบันไว้ร่วมสิบประเทศ รวมทั้งอัฟกานิสถานและอิหร่าน พรมแดนด้านตะวันตก จดทะเลสาบแคสเปียน ด้านใต้จดมหาสมุทรอินเดียภายในมหานครซามาร์คาน มีทหารประจำการพร้อมรบอยู่ถึง 110,000 คน เจงกิสข่านเคลื่อนพล 8 หมื่น ส่วนมากเป็น กองม้าบุกเข้าตีจนแตกพ่าย
เมื่อยึดซามาร์คาน ได้ก็มีการสั่งเผาเมืองทั้งเมือง และไล่ฆ่าผู้คนตายนับแสน เหลือไว้เฉพาะช่างฝีมือ และผู้มีความรู้เพียง 30,000 คน และส่งคนเหล่านี้ไปมองโกเลีย เพื่อเป็นทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป
เจงกิสข่านเกือบครองโลก
นักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นตรงกันว่า หากรุกไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่ เจงกิสข่าน จะได้ ชื่อว่าเป็น มหาจักรพรรดิองค์แรก และองค์เดียวที่ครองโลกได้ โลกในยุคนั้นมีแค่จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แถวเมืองจีนไล่ไปถึงฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น เพราะเป็นเขตที่มีการตั้งอาณาจักร มีวัฒนธรรมกัน
กองทัพเจงกิสข่านตะลุยยึดได้รัสเซียกว่าค่อนประเทศ บุกถึงยุโรปกลางและเยอรมันเตรียมบุกยึดเกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจเดินทางกลับบ้านเมืองเสียก่อน นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า หากเดินทัพต่อไปจริงๆ ก็คงยึดได้ไม่ยาก
กองทัพประหลาด และกลยุทธ์ผ่าเหล่า
เจงกิสข่านจัดรูปแบบ กระบวนทัพแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เดินทัพไปเลี้ยงสัตว์พวกวัวควาย และแพะ ตลอดจน ม้าศึกไปด้วย เมื่อสั่งบุกโจมตี ก็สามารถรวมพลได้เร็วและสามารถเข้าตีได้อย่างสายฟ้าแลบ
กำลังหลักของเจงกิสข่านจะมีประมาณ 100,000 คน แบ่งออกเป็นสิบ "ทูเมน" หรือกองพลมีกําลังรบ 10,000 นาย แต่ละกองพลจะมีผู้ติดตามทหารอีก นายละ 4 คน โดยเฉลี่ย ดังนั้น ในแต่ละกองพลจะมีผู้คนติดตาม ขบวนทหารอีกประมาณ 4 หมื่นคน
เมื่อเข้าตี ขบวนครอบครัวผู้ติดตามทหารมา จะต้องถอยห่างออกไปทางด้านหลังแนวรบ หน่วยรบจะได้รับการฝึกปรือเพลงอาวุธ ทุกประเภทอย่างเจนจบ ศึกษายุทธศาสตร์ต่างๆจากหลายชาติ เช่น เปอร์เซีย อาหรับ และจีน
ในการเดินทัพ "ทูเมน" หรือกองพลต่างๆ จะจัดกระบวนทัพ เป็นแนวหน้ากระดานกว้าง 50 ไมล์ โดยมีทัพหลวงอยู่ตรงกลาง เจงกิสข่านพร้อมกับพระมเหสีและพระสนมจะประทับอยู่ในเต็นท์เดียวกัน เป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ติดล้อเพื่อให้เคลื่อนที่ได้
ในตอนกลางวันเต็นท์หลวง จะทําหน้าที่เป็นที่ออกขุนนาง และรับราชทูตส่วนกลางคืนใช้เป็นที่ประทับ ซึ่งประทับในเต็นท์เดียวกันหมด ทั้งพระมเหสี พระสนม พระโอรสและธิดา เต็นท์ถัดไปข้างหลัง จะเป็นของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งจะเคลื่อนไปข้างหน้า ตามลําดับความสําคัญของฐานานุรูป โดยใช้วัวนับสิบตัวลาก
ในขบวนทัพจะมีม้าสํารอง ไว้คอยเปลี่ยนเป็นจํานวนมาก นอกจากนั้นยังมีฝูงแกะแพะติดตาม ไปด้วยทุกกองพล เพื่อใช้เป็นแหล่งเสบียง เนื่องจากชาวมองโกลนิยม ดื่มนมสัตว์เป็นอาหารหลัก และยังได้เนื้อเป็นอาหารอีกด้วย
การเคลื่อนทัพไปในยามปรกต ิใช้ความเร็วตํ่ามากเพียง 5 ไมล์ต่อวันเท่านั้นและจะมีการหยุดพักการเดินทาง วันละ 4 ครั้ง เพื่อรีดนมสัตว์เป็นอาหาร เมื่อจะเข้าทําการโจมตี กองพลทั้งสิบจะเข้ารวมตัว กับทัพหลวงอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งไปข้างหน้าราวสายฟ้าแลบ
จะเห็นได้ว่า เจงกิสข่าน ตะลุยไปแล้วทั่วโลก บุกเกาหลี ข้ามทะเลไปตีถึงญี่ปุ่น ลุยมาถึงฮานอย ในอดีต และเหยียบไปถึงเมืองพุกามในพม่า นอกจากมีความสามารถ ในการรบอย่างสุดยอดแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม เนื่องจากให้เสรีใน การนับถือแก่ ทุกศาสนาในโลก โดยไม่กดขี่หรือกีดกัน
เจงกิสข่านพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ไม่ใช่คนเถื่อน เพราะยังมีใจรักอารยธรรมและวัฒนธรรม แม้จะนิยมการเผาบ้านเมือง และถาวรวัตถุของศัตรู แต่ก็เป็นไปด้วยเหตุผล ทางยุทธศาสตร์ประการเดียว และยังมีการไว้ชีวิต ช่างฝีมือ และผู้มีความรู้ด้านศิลปวิทยาการต่างๆ และส่งกลับมองโกเลีย ด้วยหวังว่าจะได้สอน ชาวมองโกเลียให้มีความก้าวหน้า ในศิลปวิทยาการต่างๆ บ้าง
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่เจงกิสข่านสามารถ ตะลุยปราบหัวเมืองต่างๆ ไปได้เกือบทั่วโลกโดยไม่มีใครต้าน พลานุภาพได้ และไม่มีใครทําได้สําเร็จเช่นนี้ตลอดช่วงสหัสวรรษเดียวกันนี้ ก็พอเพียงที่จะได้รับการยกย่อง แล้วว่า เป็นมหาบุรุษได้อย่างไม่มีข้อกังขา.
ผมมองว่าคนคนนี้เป็นฆาตกรมากกว่าอย่างอื่น มีสิ่งใดที่เขาสร้างไว้ให้เป็นมรดกที่เป็นประโยชน์ให้คนรุ่นหลังและมนุษยชาติ ศาสนา? วัฒนธรรม? สิ่งประดิษฐ์? สิ่งก่อสร้าง? ศิลปะ-วรรณกรรม มีบ้างไหม? มีแต่ความโหดเหี้ยมเยี่ยงสัตว์ป่า มีแต่รุกราน ปล้น ฆ่า เผา ทำลายล้าง ชั่วร้ายทั้งนั้น
ตอบลบขอบคุณสำหรับบทความ
ตอบลบคนสมัยนั้นจะมีอะไรคิดมากกว่าสมัยนี้ล่ะ? ก็ถูกแล้วแล้วยิ่งมนุษย์ที่ถือกำเนิดเมื่อ2แสนปีก่อนพฤติกรรมมันก็สัตว์อยู่แล้ว
ถ้ายังกินเนื้ออยู่และไม่พูดถึงศาสนา มันก็อยู่ในสปีชี่คุณหรือผมเหมือนกัน สิ่งที่เตมูจินทิ้งไว้คือศิลปะการฆ่าที่ยิ่งใหญ่รวมถึงความ
สามารถทางการทหารที่หน่วยฝึกตำรวจทหารชั้นนำทั่วโลกยังนำไปวิเคราะห์ใช้